สมาธิสั้น แอลดี ออทิสติก ต่างกันอย่างไร และมีเทคนิคดูแลอย่างไร ?

เคยสังเกตมั้ยว่า เด็กรูปร่างหน้าตาดี  ฉลาดเฉลียว  ไม่บ่งบอกว่ามีอาการป่วย หรือ มีความผิดปกติทางร่างกายแต่อย่างใด ทำไมจึงเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือไม่ออก เข้ากับเพื่อนๆ ไม่ได้ หรือ นั่งนิ่งๆไม่ได้เลย

ในทางการแพทย์เด็กเหล่านี้อยู่ในข่ายของอาการ " สมาธิสั้น - บกพร่องทางการเรียนรู้ - ออทิสซึ่ม " 

ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับ ความบกพร่องทางการเรียนรู้ และ แสดงพฤติกรรม "แตกต่าง" กันไปตามอาการของโรค  ซึ่งมักเป็นปัญหาต่อการเรียนรู้ของเด็กในชั้นเรียนมากที่สุดในยุคนี้

 ในการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก 3 กลุ่มคือ

 » สมาธิสั้น 
 » บกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disorder-LD) 
 » ออทิสซึ่ม หรือ ออทิสติก (Autism Spectrum Disorder)

ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเด็กที่มีปัญหาเรื่องพฤติกรรมในชั้นเรียน สามารถแยกได้ 5 ด้าน ได้แก่

 ∼ ด้านพฤติกรรมทั่วไป

 ∼ ด้านภาษา

 ∼ ด้านความสัมพันธ์

 ∼ ด้านการรับรู้ความเป็นจริง

 ∼ ด้านความเคลื่อนไหวและสมาธิ

ปัญหาที่เห็นชัดเจนของเด็กแต่ละกลุ่มก็คือ 

√ เด็กแอลดี  มักจะมีปัญหาชัดเจนเรื่องการเรียน เรียนรู้ได้ช้า ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเขาบกพร่องทางการเรียน มีปัญหาด้านการเรียนมากกว่าการปรับตัว  และมักจะมีปัญหาด้านการเขียน การอ่านหนังสือ มีภาวะบกพร่องทางด้านสติปัญญา สมองของเขาปกติดี  แต่จะมีปัญหาเรื่องการเรียนรู้  เพราะการรับรู้ประสาทสัมผัสดี แต่พอมาถึงการแปลความ จะแปลความสับสน ทำให้พูดออกมากลับกัน สับสนซ้ายขวา ตัวหนังสือหัวเข้า หัวออก ใช้ไม้เอกไม้โท ไม่ถูกต้อง

√ ส่วนเด็กสมาธิสั้น  ปัญหาที่มักจะพบก็คือ การรบกวนในห้องเรียน เดินไปเดินมา อยู่ไม่นิ่ง ขยับตัวไปมา ทำเสียงโวยวายหงุดหงิด หรือ รบกวนเพื่อน แกล้งเพื่อน จะมีภาวะของสารเคมีในสมองที่หลั่งผิดปกติ  มีพลังเยอะ  เป็นเด็กที่ตื่นตัวตลอดเวลา เวลาเราสั่งงาน จึงต้องให้ขอบเขตและกติกาอย่างชัดเจน

√ เด็กออทิสติก  จะมีปัญหาเรื่องการปรับตัวสื่อสาร หรือ พูดกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง กินอะไรซ้ำๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ทักษะสังคมไม่ค่อยดี  เข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้  เด็กออทิสติก จึงมีปัญหาเรื่องการปรับตัวมากกว่าปัญหาเรื่องการเรียน จะกลัวมากถ้ามีอะไรกะทันหันโดยที่ไม่บอกเขาล่วงหน้า เพราะปรับตัวไม่ค่อยได้

สำหรับปัญหาพฤติกรรมของเด็ก 3 กลุ่ม ที่มักพบในชั้นเรียนคือ การที่เด็กควบคุมอารมณ์ตัวเองได้น้อยและอยู่ไม่นิ่ง  มาจากสาเหตุ 2 ประเด็นด้วยกันคือ การอบรมเลี้ยงดูจากที่บ้าน ที่ไม่ค่อยมีวินัย และ ตัวเด็กเองมีความกังวล

√ เด็กสมาธิสั้น  จะกังวลมาก ถ้าเขาได้เรียนวิชาที่ต้องใช้สมาธิมากๆ อยู่นิ่งๆ หรือต้องนั่งนิ่งๆ ฟังอะไรนานๆ

 เด็กแอลดี  จะกลัวที่สุดคือ กลุ่มวิชาทางด้านภาษา และ คณิตศาสตร์

 เด็กออทิสซึ่ม  จะเกลียดและกังวลที่สุดคือ วิชาลูกเสือ เพราะต้องอยู่ในกฎระเบียบที่ต้องทำตาม  ทำให้รู้สึกหงุดหงิด

ลักษณะการเลี้ยงดูของพ่อแม่ไม่ให้รู้จักความลำบาก ทำให้เด็กติดความสบาย ขาดความกระตือรือร้น ขาดความอดทน มีความพยายามน้อย เรามักจะเจอในเด็กออทิสติก กับ สมาธิสั้น  กรณีเด็กออทิสติก ครูสังเกตได้ง่ายๆ คือ "ไม่สบตา ไม่พาที  ไม่ชี้นิ้ว"

• ไม่สบตา คือ เวลาคุยด้วยไม่สบตา 

• ไม่พาที คือ ไม่ค่อยพูด ไม่บอกว่าต้องการอะไร สื่อสารไม่ค่อยได้ 

• ไม่ชี้นิ้ว ก็คือ ไม่สนใจว่าต้องการอะไร คือไม่สามารถชี้นิ้วได้

นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กออทิสติก ชอบเดินเขย่งเท้า เพราะผิวสัมผัสเขาไม่ค่อยดี แล้วก็ชอบเล่นนิ้ว คือ เอาเล็บจิกกับนิ้วตัวเอง เพื่อกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกขึ้นมา

การรักษาที่จะให้ผลดีในระยะยาวที่ดีที่สุดคือ การรับประทานยา ควบคู่กับการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็ก ร่วมด้วย เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จะช่วยให้เด็กมีระเบียบวินัยมากขึ้น รู้จักการยับยั้งตัวเองได้ อยู่ในกฎกติกา และ เข้าใจว่าควรจะทำอะไร จะทำให้อาการของเด็กค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการบำบัดอื่นๆ เช่น ในเด็กสมาธิสั้นให้สวดมนต์ นั่งสมาธิ เล่นกีฬา รวมถึงการฝึกให้อยู่ในกฎระเบียบ ซึ่งจะได้ผลดีในระยะยาว

สำหรับเทคนิคการช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ในชั้นเรียนมีคำแนะนำดังนี้

1. ครูควรวางขอบเขตพฤติกรรมของเด็ก  ต้องไม่ทำร้ายข้าวของ ไม่ทำร้ายคนอื่น และได้สิทธิเท่าเทียมกับคนทั่วไป เช่น การใช้เวลาไม่เกินคนอื่น ไม่อนุญาตให้เล่นของเล่นหรือมีสิทธิพิเศษมากกว่าเด็กคนอื่น

2. ในกรณีที่เด็กมีปัญหาอยู่ด้วยกันจำนวนมากๆ ในเวลาเรียน  ครูควรจัดโต๊ะเรียนเป็น กลุ่ม 4-6 คน อย่าให้เขาจัดกลุ่มเองเด็ดขาด เพราะเพื่อนไม่อยากเอาเข้ากลุ่ม และใช้จิตวิทยากลุ่ม เช่น เวลาครูสอนให้ถาม คำถามเป็นช่วงๆ เป็นคำถามง่ายๆที่เขาตอบได้ จะทำให้เขามีความสนใจมากขึ้น เพราะเพื่อนๆ จะช่วยให้เขาตอบคำถาม

3. ใช้วิธีแรงเสริมทางบวกโดยการให้รางวัลกระตุ้นจูงใจ  เช่น การให้ดาว สติ๊กเกอร์ คะแนน รวมถึงครูสามารถให้แรงเสริมทางลบได้คือ ไม่ให้คะแนนเพิ่มเติม หรือตัดคะแนน พอถูกหักคะแนน เขาก็เริ่มกลับมากระตือรือร้นในการเรียนเพิ่มขึ้น

4.วิธีการที่จะสอนได้ดีที่สุดในเด็กแอลดี  ซึ่งจะมีปัญหาด้านการอ่าน การเขียน การสะกดคำ ก็คือการให้เด็กได้อ่านออกเสียงวันละ 15 นาที ไม่เกิน 30 นาที เพราะเมื่อเขาอ่าน ตาเขาเห็นตัวหนังสือ จะทำให้เกิดกระบวนการจำจากสิ่งที่เขาเห็น เสียงที่เขาอ่าน เกิดกระบวนการจำจากสิ่งที่เขาได้ยิน และจะดีมาก ถ้าให้เขาปิดในสิ่งที่เขาอ่าน แล้วให้เขาเล่าให้ครูฟังว่า เขาอ่านอะไรไปบ้าง ก็จะเกิดความเข้าใจจากการอ่าน

5. เด็กแอลดี มักจะเครียดมากเวลาเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาไทย หรือ คิดเลข  จะรู้สึกปวดท้อง ปวดหัว ครูควรบอกเขาก่อนเรียน เช่น "เดี๋ยววิชาภาษาไทย ครูเข้าใจว่าเดี๋ยวหนูจะไม่สบาย เพราะครูรู้ว่าหนูกังวล หนูรู้สึกเครียด ถ้าหนูรู้สึกเครียด กังวล ไม่สบายใจ หนูค่อยๆบอกครูนะ แล้วหนูมาบอกครูนะว่า หนูพอไหวไหม หนูอดทนได้ไหม" วิธีนี้เป็นการเตรียมพร้อมให้เด็ก ซึ่งใช้ได้กับทั้ง 3 อาการ

6. เด็กสมาธิสั้น มักจะทำงานเร็ว แต่ชุ่ย  ครูต้องบอกเขาล่วงหน้า เช่น "เดี๋ยวหนูจะทำเร็วมาก แต่ทุกครั้งงานที่หนูส่งมาให้ครูไม่ค่อยได้คะแนนเท่าไร เพราะหนูจะทำด้วยความ รวดเร็วเกินไป แต่ครูเชื่อว่าหนูมีความสามารถที่จะทำได้ดีกว่านี้"   คือบอกเขาล่วงหน้าว่า ถ้าเขาจะทำเร็ว แต่ทำไม่ละเอียด ก็บอกเขาว่าครูเชื่อว่าหนูสามารถทำได้ดี ละเอียด และเรียบร้อย ถ้าหนูคิดว่าหนูทำได้ดี ละเอียดเรียบร้อยแล้ว หนูค่อยมาส่งครูนะคะ

7. เด็กออทิสติก ครูต้องบอกล่วงหน้าถึงสิ่งที่เขาจะทำต่อไป  และบอกด้วยว่าเราเชื่อว่าเขาทำมันได้ เพราะปัญหาของเขาคือ เรื่องการสื่อสาร ปรับตัวไม่ค่อยดี อะไรที่มีการเปลี่ยนแปลงมีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน เพราะไม่ค่อยยืดหยุ่น จึงต้องบอกเขาล่วงหน้าก่อนเสมอ เช่น "เดี๋ยวจะมีกิจกรรมลูกเสือและจะต้องเข้าแถว แล้วอากาศก็ร้อน ครูรู้ว่าหนูไม่ชอบ เพื่อนๆทุกคนก็ไม่ชอบ แต่ทุกคนต้องอดทน บางทีหนูอาจจะหงุดหงิดมากจนทำให้หนูไม่อยากทำมันเลย แต่ครูเชื่อว่าหนูสามารถทำมันได้"

8. ในการสอนเด็กออทิสติก ครูควรให้กติกาง่ายๆ สอนเขา สอนเสร็จเรียบร้อยสัก 15 นาที แล้วให้ทวนกติกาอีกครั้งหนึ่ง ทวนบ่อยๆเพื่อเตือนความจำให้กับเด็ก และชื่นชมเมื่อเด็กจำได้ว่ากติกาคืออะไร

เด็กกลุ่ม " สมาธิสั้น - LD - ออทิสติก"  จะไม่สร้างปัญหาในห้องเรียน หากครูรู้เทคนิคการรับมือ เด็กๆ ก็พร้อมจะเรียนเสมอ

นอกจากนี้ ผู้ปกครองและครู จะต้องมีความเข้าใจถึงความแตกต่างและข้อจำกัดของเด็ก ต้องสอนเด็กกลุ่มนี้เป็นพิเศษ อาจแยกวิชาที่เด็กอ่อน เช่น การอ่านสะกดคำ ก็แยกมาสอนเฉพาะเพื่อพัฒนาส่วนนั้น รวมทั้งช่วยฝึกฝนประสาทตาและมือให้เด็ก เพราะสองส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญในการใช้อ่านและเขียน

เมื่อสงสัยว่า เด็กเป็น LD ซึ่งถือว่าเป็นความพิการชนิดหนึ่งที่เด็กจะต้องได้รับความช่วยเหลือทางการแพทย์และการศึกษาตามกฎหมาย ครูมีสิทธิที่จะส่งเด็กไปพบแพทย์ เมื่อตรวจพบ แพทย์จะเป็นผู้ออกใบรับรองเพื่อให้เด็กได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งทั้งพ่อแม่ ครู และแพทย์ต้องทำงานร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือเด็ก 


ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก 
เว็บไซต์ Thaihealth
เว็บไซต์ Mamaexpert

======================================

♥ เปิดเทอมใหม่นี้ เตรียมความพร้อมต่อ
การเรียนรู้ให้ลูกน้อย
ด้วย "อเลอไทด์"

ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain
สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบำรุงสมอง
 เสริมสร้างสมาธิ เพิ่มความจำ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
√ ช่วยลดความเครียด ทำให้อารมณ์ดี
√ กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
 ช่วยให้ลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
√ ช่วยให้ปรับพฤติกรรมลูกได้ง่ายขึ้น 
 ดูแลอาการสมาธิสั้นให้ดีขึ้น ทำให้ผลการเรียนดีขึ้น
 
**เสริมอาหารสมองให้ลูกน้อย ทำให้มี IQ และ EQ ที่ดี
ป้องกัน/ลดความเสี่ยงต่อ สมาธิสั้น ได้ด้วย "อเลอไทด์"

ปรึกษาปัญหาสมาธิสั้น/แอลดี
หรือ สั่งซื้อ อเลอไทด์

โทร : 064-469-4459

Add Line : @HealthyBrain

เพิ่มเพื่อน

Visitors: 393,759