หลายครั้งพ่อแม่ใช้หน้าจอเครื่องมือสื่อสาร เป็นตัวหยุดความไม่อยู่นิ่งของเด็ก การปล่อยให้เด็กซึมซับสื่อจากโทรทัศน์ แทบเล็ต มือถือมากๆ ก็เป็นการส่งเสริม “ภาวะสมองเสื่อมจากการเสพติดจอ” หรือโ รคที่ภาษาแพทย์เรียกว่า ดิจิตอล ดีเมนเทีย (Digital Dementia)
นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการ และ พฤติกรรม คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กล่าวว่า มีงานวิจัยจากเยอรมนีและเกาหลี ที่ให้ข้อมูลตรงกันว่า ปัจจุบันเด็กทั่วโลกกำลังประสบ ภาวะสมองเสื่อมจากการเสพติดจอ ผลคือ สมองซีกขวาซึ่งทำงานเกี่ยวกับความจำ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและสังคมทำงานน้อยลง เมื่อเด็กๆ หมกมุ่นและใช้เวลาอยู่กับหน้าจอของบรรดาเครื่องมือสื่อสารมากเกินไปในแต่ละวัน ประสิทธิภาพใน การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาต่างๆ ของเด็กก็ลดลงตามไปด้วย
พูดง่าย ๆ คือ เด็กจะมีอีคิวต่ำลง ไม่รู้จักการปฏิสัมพันธ์ เพื่อเรียนรู้ความรู้สึกความเข้าใจในตัวเองและผู้อื่น มีผลต่อการเรียน และ การทำงานเป็นทีม เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น และ ผลกระทบรุนแรงที่สุดคือ การใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่มากขึ้น ไม่มีอุดมการณ์ หรือ แนวความคิดร่วมทางสังคม
สำหรับประเทศไทย แม้ยังไม่มีงานวิจัยเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับ อาการดิจิตอล ดีเมนเทีย ในเด็ก แต่คุณหมอพบว่า ปัจจุบันพ่อแม่จำนวนมากกำลังประสบปัญหาดังกล่าว จากพัฒนาการของลูกที่ไม่เป็นไปตามวัย และ หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าวก็คือ การใช้เครื่องมือสื่อสารเป็นพี่เลี้ยงลูก
วิธีป้องกันและแก้ไข คือ ปล่อยให้เด็ก ๆ วิ่งเล่นซุกซนตามประสา หรือ สนับสนุนให้พวกเขาไปทำกิจกรรมนอกบ้านหลังเลิกเรียน หรือ ให้เล่นกีฬากลางแจ้งที่ชอบ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ฮอร์โมนเอนโดฟิน หรือ สารสร้างความสุขในร่างกาย จะหลั่งออกมาเมื่อมีการออกกำลังกายต่อเนื่องนาน 20-30 นาที
เด็ก ๆ ที่ออกกำลังด้วยการวิ่งเล่นไล่จับ ขุดดินเล่นเลอะโคลน คลุกฝุ่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน จะมีสีหน้าท่าทางเปี่ยมสุขจากความสนุกที่ได้รับ แบ่งเวลาทำเช่นนี้กับลูกทุกวัน ถือเป็นวิธีการง่ายที่สุด และ ควรทำเป็นประจำสม่ำเสมอเพื่อทำให้เด็กๆ ติดสุข จากการออกกำลังกายแทนการติดหนึบอยู่หน้าจอ ฉะนั้น แรงผลักดันสำคัญจึงต้องมาจากพ่อแม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า การเสพติดจอของเด็ก ก็เกิดมาจากพฤติกรรมของพ่อแม่นั่นเอง
สมรรถนะ 7 ด้านของเด็กไทย ต่ำกว่ามาตรฐาน
ดร.วรนาท รักสกุลไทย หนึ่งในนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาเด็กปฐมวัย และ เป็นผู้ที่ทำงานด้านการพัฒนาศักยภาพเด็กมาอย่างยาวนาน ได้ให้ข้อมูลที่ทำให้ผู้ใหญ่หลายคน รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองถึงกับอึ้งไปตามๆกัน เมื่อมีรายงานวิจัยระบุว่า สมรรถนะของเด็กไทย 7 ด้าน ต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น
√ ทักษะการเคลื่อนไหว
√ ทักษะด้านสังคม
√ ทักษะด้านอารมณ์
√ ทักษะด้านการคิดและสติปัญญา
√ ทักษะด้านภาษาและการสื่อสาร
√ ทักษะด้านจริยธรม และ ทักษะด้านการสร้างสรรค์
จากผลวิจัยนี้ได้ตอกย้ำชัดเจนว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รูปแบบการเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่ยุคใหม่ ได้ใช้อุปกรณ์สื่อสารหลากหลายชนิดเข้ามามีส่วนให้เด็กได้แตะต้องสัมผัส ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมทางสังคมที่พ่อแม่ แม้จะมีความตระหนัก แต่อาจไม่ระมัดระวัง
“โดยทั่วไป อัตราเด็กอนุบาลที่มี อาการสมาธิสั้น ในแต่ละห้องเรียนจะมีอัตราเฉลี่ยที่ร้อยละ 5 แต่ตอนนี้อัตรามันเพิ่มเป็นร้อยละ 10-15 มากขึ้น จนน่าเป็นห่วง อาการสมาธิสั้นของเด็ก มีสาเหตุสำคัญมาจาก สิ่งเร้ารอบตัวเขา ที่กระทบประสาทสัมผัสทางตาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการปล่อยให้ลูกอยู่กับหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นจอประเภทไหน ล้วนไม่ได้ส่งเสริมการเติบโตที่สมบูรณ์ของเด็กๆ”
ดร.วรนาท กล่าว และระบุว่า พ่อแม่ควรส่งเสริมสมรรถนะรอบด้าน และ พัฒนาการตามวัยของเด็ก ด้วยการสนับสนุนให้เด็กๆ ออกไปวิ่งเล่นกลางแจ้ง ได้ออกกำลังกาย หรือ ทำกิจกรรมนอกบ้านให้มากขึ้น
ส่งเสริมให้ลูกติดสุขกับการเล่น การออกกำลังกาย ดีกว่าให้พวกเขาติดหนึบอยู่หน้าจอ
พ่อแม่อย่า ‘กลัวเลอะ’ แต่มาชวนลูกๆ ให้ ‘กล้าเลอะ’ กันดีกว่า
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ และรูปภาพจาก
เว็บ dirtyisgoodclub.com
==================================
♥ เตรียมความพร้อมต่อ การเรียนรู้
ให้ลูกน้อย ลดความเสี่ยงต่อ
อาการสมาธิสั้นด้วย "อเลอไทด์"
ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain
สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบำรุงสมอง
√ เสริมสร้างสมาธิ เพิ่มความจำ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
√ ช่วยลดความเครียด ทำให้อารมณ์ดี
√ กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
√ ช่วยให้ลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
√ ช่วยให้ปรับพฤติกรรมลูกได้ง่ายขึ้น
√ ดูแลอาการสมาธิสั้นให้ดีขึ้น ทำให้ผลการเรียนดีขึ้น
**เสริมอาหารสมองให้ลูกน้อย ทำให้มี IQ และ EQ ที่ดี
ป้องกัน/ลดความเสี่ยงต่อ สมาธิสั้น ได้ด้วย "อเลอไทด์"