วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว!! 10 ปัจจัย ที่ทำให้ลูกฉลาดได้
พันธุกรรม เป็นหนึ่งใน ปัจจัยทำให้ลูกฉลาด แล้วถ้าพ่อแม่ไม่ฉลาดล่ะจะทำอย่างไร? ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนก็จะบอกว่า เป็นไปตามบุญ ตามกรรม หรือพรสวรรค์ของคนนั้น แต่ปัจจุบัน ความฉลาด เป็นเรื่องที่พ่อแม่สามารถเสริมให้ลูกได้มากขึ้น และ ปัจจัยที่สำคัญที่สุด ก็คือ ตัวของคุณพ่อคุณแม่ ที่จะสามารถส่งเสริมความฉลาดของลูกได้มากน้อยแค่ไหนนั่นเอง
พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ นายกสมาคมนักวิจัยไทยเพื่อการพัฒนาเด็ก และครอบครัว หนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกงานวิจัยเรื่องสมองเด็กไทย มองว่า คุณพ่อคุณแม่จำนวนไม่น้อยเลี้ยงลูกผิดวิธี ส่งผลให้เด็กยิ่งเติบโตพัฒนาการด้านต่าง ๆ ยิ่งลดต่ำลง
“ โดยส่วนใหญ่จะฝึกลูกแบบไม่ประณีต ชุ่ย ๆ หรือ แบบสำเร็จรูป บางคนเลี้ยงลูกด้วยโทรทัศน์ และ แท็บเล็ต/สมาร์ทโฟน …แต่หารู้ไม่ว่า เทคโนโลยีเหล่านี้ ไปทำลายสมองส่วนหน้า ทำให้เด็กเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบคิด และ กลายเป็นเด็กสมาธิสั้น ”
สอดรับกับงานวิจัยหลายๆชิ้น ที่เปรียบเทียบระดับไอคิวของเด็กที่ดูโทรทัศน์วันละ 1 ชั่วโมง กับ เด็กที่ไม่ดูโทรทัศน์เลย พบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ระดับพัฒนาการของเด็กที่ดูโทรทัศน์ จะต่ำกว่า เด็กที่ไม่ดูอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี พญ.จันทร์เพ็ญ มีข้อแนะนำในทางปฏิบัติให้คุณพ่อคุณแม่นำไปช่วยลูกปฐมวัย หรือ ก่อน 6 ขวบ เพื่อกระตุ้นสมอง และ พัฒนาการทางภาษาอย่างถูกวิธี ตามแนวทางดังต่อไปนี้
- คุยกับลูกอย่างสนุกสนาน ลูกต้องคุ้นเคย และ ได้ยินเสียงคุณพ่อคุณแม่บ่อยที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ บอกเขาว่า คุณคือใคร คุณกับลูกอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่ และ อธิบายถึงสิ่งรอบตัวที่ลูกเห็น ได้ยินเสียง และ สัมผัสได้ เริ่มจาก สิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว ไปสู่สิ่งที่ใหญ่ขึ้น และ ไกลตัวออกไป รวมถึง การทักทายเด็กตั้งแต่ตื่นนอนเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับ โอบกอด หอมแก้ม หรือ หยอกล้อไปด้วย จะยิ่งกระตุ้นสมองมากขึ้น
- รับฟังลูกอย่างอดทน และตั้งใจ แม้ในช่วงแรกๆ จะยังไม่เข้าใจภาษา หรือ คำพูดที่ลูกใช้ แต่เมื่อลูกรับรู้ว่ามีคนตั้งใจฟังเขา จะเป็นแรงกระตุ้นให้เขาอยากฝึกออกเสียง หรือ เปล่งคำพูดใหม่ ๆ มากขึ้น และ อย่าเบื่อที่จะตอบคำถามลูก เพราะ การขยันตอบคำถามลูกวัยเด็กเล็กก็เพื่อ กระตุ้นสมองให้เด็กเป็นคนกล้าคิด ทำให้เกิดวงจรเรียนรู้แบบถาวร
- ให้เวลาลูกตอบสนองหรือตอบคำถาม เพราะต้องไม่ลืมว่าเด็กเล็กๆ ต้องการเวลาทำความเข้าใจ เพื่อเรียบเรียงความคิดก่อนที่จะสามารถสื่อสารกับคุณได้ ดังนั้นอย่าใจร้อน เร่งรัด หรือ พูดแทน หรือ พยายามเติมคำในช่องว่างเวลาที่ลูกพูดกับเรา ควรให้เขาได้พยายามคิด และ พูดออกมาด้วยตัวเอง
- พูดคำง่าย ๆ สั้น ๆ และช้า ๆ เพราะในสมองลูกยังมีคำจำกัด อายุเขาต่างจากเรามาก ความเข้าใจในถ้อยคำต่าง ๆ จึงยังมีไม่มาก หากต้องอธิบายอะไรให้ลูกเข้าใจ ต้องปรับประโยคให้ง่าย สั้น ชัดเจน พูดทีละเรื่อง แล้วลูกจะเรียนรู้คำต่าง ๆ ได้รวดเร็ว
- ตอบสนอง และ ชื่นชมกับความพยายามของลูกที่จะสื่อสารกับเรา ไม่จำเป็นต้องคอยแก้ไขคำพูดที่ลูกพูดผิด แต่สิ่งที่ควรทำคือ ทบทวนคำ หรือ ประโยคที่ลูกพูดให้ถูกต้อง เช่น ลูกพูดว่า “แม่ไปหลาด” แทนที่จะตำหนิว่า “ไม่ใช่ ๆ ลูกพูดผิด” ควรทวนประโยคของลูกด้วยประโยคที่ถูกต้อง คือ “จ้ะ แม่ไปตลาด”
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีวิธีที่ทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์มาแล้ว และ คุณพ่อคุณแม่สามารถเสริมสร้างความฉลาดให้ลูกได้มากขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยได้จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ค้นพบว่า สิ่งที่ทำให้เด็กตั้งแต่ทารกจนถึงวัยรุ่นฉลาด มี 10 อย่าง ดังนี้…
1. เรียนดนตรี
จากผลการวิจัยเมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้เรียนดนตรี เด็กกลุ่มที่เรียนดนตรีสามารถพัฒนา ไอคิว ได้เต็มรูปแบบ โดยวัดจากการทดสอบ IQ จากคะแนนต่างๆ
2. ออกกำลังกาย
จากการวิจัยพบว่า หลังจากออกกำลังกาย คนเราสามารถเรียนรู้คำศัพท์คำใหม่ได้เร็วขึ้น 20% ในปี 2007 การศึกษาของนักวิจัยเยอรมันพบว่า คนสามารถเรียนรู้คำศัพท์ได้เร็วขึ้นร้อยละ 20 ก่อนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังมีการศึกษา สมองของกลุ่มอาสาสมัครที่ออกกำลังกาย ในระยะสามเดือน แล้วเอาภาพของสมองของพวกเขาก่อนและหลังมาเทียบกัน สิ่งที่พบก็คือว่า ปริมาณของเส้นเลือดฝอยในความทรงจำ
3. อ่านหนังสือกับเด็ก
การอ่านหนังสือกับเด็ก อย่าเพียงอ่านแล้วพวกเขาจ้องมองที่ภาพในหนังสือในขณะที่คุณอ่าน แต่ควรให้เด็กสนใจกับตัวหนังสือ และ คำที่อ่าน ซึ่งจะช่วยสร้างทักษะการอ่าน และ ส่งเสริมความสามารถในการอ่านออกเขียนได้
4. การนอน
มีการวิจัยพบว่า “การสูญเสียของหนึ่งชั่วโมงของการนอนหลับจะเทียบเท่ากับ การสูญเสียสองปีของการเจริญเติบโต และ การพัฒนาองค์ความรู้ ” ยังมี อีกงานวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับเกรด A นอนหลับมากกว่า นักเรียนที่ได้รับเกรด B ประมาณ 15 นาที และ เช่นเดียวกัน นักเรียนที่ได้รับเกรด B นอนหลับนานกว่า นักเรียนที่ได้รับเกรด C ประมาณ 15 นาที แสดงว่า แค่สิบห้านาทีก็สำคัญ
5. การมีวินัยในตัวเอง
การศึกษาแสดงให้เห็นว่า ความมีวินัยในตัวเอง เป็นหลักสำคัญที่สุด สำหรับความสำเร็จของแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น นักเรียนที่มีวินัยในตัวเองจะได้รับเกรดที่สูง เพราะ มีการขาดเรียนน้อยกว่าและ มีความสำคัญมากกว่า IQ
6. การเรียนรู้ด้วยตัวเอง
การศึกษาพบว่าเด็กทารก 17-24 เดือน ที่ดู DVD สอนหนังสือเด็ก ตัวอย่างเช่น Baby Einstein หนึ่งชั่วโมงต่อวัน จะ เรียนรู้คำศัพท์ได้น้อยกว่าทารกที่ไม่ได้ดู ประมาณหกถึงแปดคำ สมองของเด็กจะพัฒนาการเรียนรู้ได้ดีเมื่อ เด็กได้กระทำโดยผ่านประสบการณ์ การทำตามกิจกรรม แบบฝึกหัด การทดลอง การเรียนรู้ทำให้เด็กมีประสบการณ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น เพราะเด็กได้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้เห็น ได้ฟัง และ ได้สัมผัส
7. การทานอาหารมีประโยชน์
อาหาร เป็นอีกหนึ่ง ปัจจัยทำให้ลูกฉลาด ได้ เพราะ อาหารมีความสำคัญต่อชีวิตตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เด็กจำนวนมากขาดสารอาหารตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ทำให้มีน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่า 2500 กรัม ระยะหลังคลอดถึง 6 เดือน เป็นระยะที่เด็กควรได้รับอาหารที่เหมาะสมที่สุด คือ นมแม่ ซึ่งมีคุณค่าทุกอย่างพร้อม เมื่อเด็กอายุ 6 เดือน ควรเริ่มให้อาหารเสริม โดยเริ่มทีละอย่าง และ ทีละน้อยจนเด็กได้รับอาหารเสริมครบ 5 หมู่ เด็กต้องการอาหารในปริมาณและคุณภาพดี
8. เด็กที่มีความสุข = เด็กที่ประสบความสำเร็จ
มนุษย์ทุกคน ต้องการความรักความอบอุ่น ความรู้สึกปลอดภัย และ ความไว้วางใจกัน สิ่งเหล่านี้เป็นอาหารใจ และ เป็นรากฐานที่สำคัญมาก ถ้าพ่อแม่และครูเข้าใจเด็ก รู้จักตอบสนองความต้องการเด็กอย่างเหมาะสม และ สามารถสร้างความผูกพันทางใจกับเด็กได้อย่างดีแล้ว เด็กจะมีอารมณ์แจ่มใส เจริญเติบโตไว ร่าเริงน่ารัก เมื่อโตขึ้นจะมีความมั่นใจในตัวเอง และ มองโลกในแง่ดี รู้จักปรับตัวอยู่กับผู้อื่นได้อย่างดีด้วย
9. สิ่งแวดล้อม
การที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความสุข และ ไปให้กับโรงเรียนที่มั่นคง และ ทำให้แน่ใจว่าเด็กออกไปเที่ยวกับเด็กที่ดี สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมาก
หนึ่งการศึกษาของนักศึกษาวิทยาลัย Dartmouth โดยบรูซ Sacerdote เขาพบว่า เมื่อนักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยต่ำ ไปพักอยู่กับ นักเรียนที่คะแนนสูงกว่า คะแนนของเค้าจะดีขึ้น
10. เชื่อในพวกเขา
การเชื่อว่า ลูกของคุณฉลาดกว่า จะทำให้เค้าฉลาดขึ้น จากงานวิจัยของโรเซนธาลและ Lenore Jacobson (1968) ได้ศึกษาว่า ครูโรงเรียนประถมศึกษาได้ทำการทดลอง โดยสุ่มนักเรียนขึ้นมาแล้วบอกว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มนักเรียนที่มีไอคิวดีกว่าคนอื่น ในตอนสิ้นของปีโรงเรียน ร้อยละ 30 ของเด็กกลุ่มนี้ มี IQ เพิ่มขึ้น 22 จุด
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
เว็บไซต์ amarinbabyandkid.com
===============================================
♥ เปิดเทอมใหม่นี้ เตรียมความพร้อมต่อ การเรียนรู้
ให้ลูกน้อย ด้วย "อเลอไทด์"
√ ช่วยให้ปรับพฤติกรรมลูกได้ง่ายขึ้น