11 วายร้าย !! ทำลายสมองลูก

   

ในยุคดิจิตอลที่ผู้คนชอบสะสมความเครียด แทนการใช้สอยความสุข แน่นอนว่า สมองต้องรับบทหนัก คิด วิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งกับเด็กก็ตาม ก็ได้รับผลกระทบจากสิ่งรอบ ๆ ข้างนี้อยู่มิใช่น้อย

ด้วยรูปแบบพฤติกรรมการเลี้ยงดูของพ่อแม่ในยุคแห่งความเจริญนี้ มีพ่อแม่หลายคนเปิดโอกาส หรือ สร้างช่องทางให้ สมองลูกถูกทำลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะจาก สื่อ  สภาพแวดล้อม อาหารการกิน สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนมีผลกระทบต่อสมองของลูกไม่มากก็น้อย จึงได้รวบรวม “ วายร้าย ทำลายสมองลูก ”  มาฝากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตระหนักกัน

1. โทรทัศน์

โทรทัศน์ วายร้าย ทำลายสมองลูก

   เริ่มกันที่ “โทรทัศน์” เพราะ มีบทความเผยแพร่งานวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำการเปรียบเทียบระดับไอคิวของเด็กที่ดูโทรทัศน์วันละ 1 ชั่วโมง กับ เด็กที่ไม่ดูโทรทัศน์เลยพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ระดับพัฒนาการของเด็กที่ดูโทรทัศน์ จะต่ำกว่า เด็กที่ไม่ดูอย่างชัดเจน  นักวิจัยจึงออกข่าวแนะนำพ่อแม่ไม่ให้เลี้ยงลูกด้วยโทรทัศน์ จนกว่าจะพ้นระยะปฐมวัยไปแล้ว นั่นก็คือ หลัง 6 ขวบ

  • ดังนั้น หากต้องการให้สมองของลูกพัฒนาไปตามธรรมชาติ ไม่ถูกกระตุ้นด้วยภาพและเสียงมากเกินไป จนทำให้ลูกกลายเเป็เด็ก สมาธิสั้น  สิ่งหนึ่งที่ห้ามเด็ดขาด คือ ไม่ควรดูโทรทัศน์ในระหว่างตั้งครรภ์ และ ระหว่างเลี้ยงลูกวัยก่อน 6 ขวบ เพราะต้องไม่ลืมว่า เวลาดูโทรทัศน์ เด็กจะใช้ประสาทสัมผัสเพียง 2 ส่วน คือ ตารับภาพ  กับ หูรับเสียง เท่านั้น  จึงขัดแย้งกับกระบวนการเรียนรู้ในเด็กเล็ก ซึ่งจะต้องเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสที่ 6  ซึ่งโทรทัศน์ไม่สามารถตอบสนองได้เลย  ซ้ำยังเป็นการทำลายสมองส่วนรับประสาทสัมผัสอื่นๆ ทางอ้อมอีกด้วย  เพราะจะทำให้ค่อยๆ ฝ่อลง  เนื่องจากไม่ได้ถูกใช้งานเท่าที่ควร

  • นอกจากนี้ การที่เด็กเรียนรู้เพียงภาพ และ เสียง  เด็กจะไม่เข้าใจถึงการดำรงอยู่จริงๆ ของสิ่งที่เขาเห็นจากโทรทัศน์ เช่น ถ้าเราอยากให้ลูกรู้จักโต๊ะ เก้าอี้ แต่เราให้ดูแต่ภาพ หรือ ฟังเสียงเคาะโต๊ะ  ขยับเก้าอี้จากโทรทัศน์เท่านั้น  เขาก็จะรู้จักแค่ว่า โต๊ะ เก้าอี้ มีลักษณะแบนๆ เหมือนในภาพ แต่ไม่รู้ว่ามีความลึก หนา บาง หรือ มีผิวสัมผัสอย่างไร  ร้อนเย็นแค่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าลูกไม่เคยจับโต๊ะเก้าอี้เลย ความทรงจำของลูกเกี่ยวกับ โต๊ะเก้าอี้ ก็ไม่จริง แต่เป็นความทรงจำที่จำลองขึ้น

2. นอนดึกบ่อย ๆ

นอนดึก วายร้าย ทำลายสมองลูก

  • เด็กแต่ละวัย ก็มีชั่วโมงการนอนหลับพักผ่อนแตกต่างกัน ตามนาฬิกาในสมอง (Biological clock) ลูกน้อยในวัยนี้ ควรนอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม หรือ 2 ทุ่มครึ่ง ช้าที่สุด นอนหลับลึกช่วงกลางคืน 10-12 ชั่วโมง  ถ้าหากนอนดึก ตื่นเช้าบ่อย ๆ แล้วล่ะก็  นอกจากร่างกายจะไม่สูงใหญ่แล้ว ก็จะทำให้เซลล์สมองไม่ได้รับการทดแทนจากการฟักตัวของเซลล์ใหม่  เซลล์สมองที่ตายแล้วจะสะสมจนมีปริมาณมาก ทำให้สมองไม่พัฒนาเท่าที่ควร

3. อาหารขยะ

อาหารขยะ วายร้าย ทำลายสมองลูก

   อาหารขยะ  จากแป้งทอด หรือ ย่างด้วยความร้อนสูง นับวันจะมีมากขึ้นในเมืองไทย ซึ่งการซื้ออาหารเหล่านี้ให้เด็กกิน หรือ ให้เด็กซื้อกินจนติดเป็นนิสัย เป็นสิ่งที่น่าห่วงมาก เห็นได้จากข้อมูลงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า การให้เด็กๆ ที่อายุไม่ถึง 3 ขวบ  รับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและไขมัน  มีส่วนทำให้กระบวนการพัฒนาของเซลล์สมองด้อยประสิทธิภาพลง และ อาจทำให้เด็กมีไอคิวต่ำกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน

  • โดยงานวิจัยชิ้นนี้ นำระดับไอคิวของเด็กที่รับประทานขนมกรุบกรอบอย่าง มันฝรั่งทอด บิสกิต หรือ พิซซ่าตั้งแต่อายุน้อยๆ (ไม่เกิน 3 ขวบ) มาเปรียบเทียบกับเด็กที่รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และ อาหารที่ทำเองในบ้านพบว่า  เด็กกลุ่มแรกมีไอคิวต่ำกว่า เด็กกลุ่มที่สองอย่างน้อย 5 แต้ม และแม้ว่า พ่อแม่จะปรับอาหารให้ดีขึ้นในภายหลัง ก็อาจสายเกินไปที่จะเยียวยาเสียด้วย เพราะ กระบวนการพัฒนาของสมองนั้น ในช่วง 3 ขวบปีแรก ถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของชีวิต

   อย่างไรก็ดี การให้เด็กๆ ในวัยดังกล่าว รับประทานแต่อาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน น้ำตาล ไม่เพียงแต่จะทำให้สมองของเด็กเติบโตได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่ยังทำให้เด็กขาดวิตามิน และ สารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองด้วย

4. ของเล่น

ของเล่น วายร้าย ทำลายสมองลูก

   ของเล่นบางชนิดที่ผลิต อาจมีสารพิษ และ สารเคมีประเภทตะกั่ว หรือ สารปรอทที่ปนเปื้อนมากับของเล่น หากได้รับการสั่งสมเป็นเวลานาน และ ปริมาณมากก็ส่งอันตรายต่อสมองได้ ซึ่งสารพิษสามารถป้องกันได้โดย การเลือกของเล่นที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรม) รับรองว่าปลอดภัย

5. บุหรี่

บุหรี่ วายร้าย ทำลายสมองลูก

   สำหรับบ้านที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ สภาพแวดล้อมในบ้านไม่ปลอดโปร่ง อาจทำให้สมองของเด็กได้รับสารพิษ และ เป็นการสกัดกั้นและบั่นทอนศักยภาพในสมองให้ลดลงได้  เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจน และ อากาศที่สดชื่น

  • ทั้งนี้ ยังมีข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกประเมินว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรเด็กทั้งโลก ได้หายใจเอาอากาศที่ปนเปื้อนควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กอยู่ในบ้าน จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กมากๆ เพราะยิ่งเด็กหายใจเข้าไปมากเท่าไร สมองก็ยิ่งจะเสื่อมลงไปทุกที ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ควรคิดให้ดีก่อนจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบในบ้าน

6. ความเครียดสะสม

ความเครียด วายร้าย ทำลายสมองลูก

   ความเครียดสะสมจากการเรียนหนัก ถูกบังคับให้เรียน หรือ ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ  รวมไปถึงการถูกตำหนิทุกวัน ไม่เคยได้รับคำชมเลย สิ่งเหล่านี้อาจไปยับยั้งการเรียนรู้ ทำลายสมอง ทั้งยังก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเครียด  โรคกระเพาะ  รวมไปถึง ภาวะซึมเศร้า ด้วย

7. ไอโฟน ไอแพดไอโฟน ไอแพด วายร้าย ทำลายสมองลูก

   พ่อแม่ในยุคไซเบอร์ที่ชอบเลือกซื้อไอโฟน ไอแพดให้ลูกเล่น พึงตระหนักกันให้ดีๆ ถึงแม้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า เจ้าสองสิ่งนี้จะส่งผลร้ายต่อสมองเด็กโดยตรง แต่ถ้าปล่อยให้เด็กเล่น และ อยู่กับเจ้าเครื่องเหล่านี้ตั้งแต่เล็ก โอกาสที่เด็กจะพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ย่อมมีได้น้อย อีกทั้งความเสี่ยงต่อโรคสมาธิสั้น ย่อมเกิดได้สูงตามไปด้วย เนื่องจากภาพต่างๆ ในจอ เปลี่ยนเร็วมาก เด็กจะคุ้นเคยกับความเร็ว ทำให้รอคอยไม่เป็น ทางที่ดีควรให้ลูกเล่นเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม และ มีกฎกติกาการใช้ที่ชัดเจน

  • นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า มีผู้ป่วยด้วยอาการปวดแขน ปวดคอจากการใช้งานแท็บเล็ตพีซี เช่น ไอแพดเพิ่มมากขึ้น ในเรื่องนี้ ดร.John Pappas ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์จาก Beaumont Centre ในมลรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เผยว่า การใช้แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ โดยเฉพาะบริเวณนิ้วมือและมือ จึงสมควรใช้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น 

8. คลื่นมือถือ

คลื่นมือถือ วายร้าย ทำลายสมองลูก

   มีรายงานเรื่อง “Cell Phones For Kids Death Traps To Hasten Their Deaths” ที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง  จากผลการศึกษาวิจัยของ Dr.Om Ghandhi มหาวิทยาลัยยูทาห์ ในรายงานระบุว่า คลื่นที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือนั้น  จะทะลวงเข้าสู่เนื้อเยื่อสมอง ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ และ อาจทำให้เกิดการดัดแปลงระดับชั้นพันธุกรรม (DNA) และ ชั้นเซลล์ ซึ่งอาจเป็นเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

9. อาหารมื้อเช้า

วายร้าย ทำลายสมองลูก

   ความเร่งรีบของภาวะสังคมในปัจจุบัน อาหารมื้อเช้าของลูกเลยกลายเป็นเมนูจานด่วน  แค่นมสด 1 กล่อง  ขนมปังพวกตระกูลไข่ทั้งหลายแหล่  ตามด้วยผลไม้ที่หาได้ง่าย ๆ อย่าง พวกกล้วยน้ำว้า มะละกอ ส้ม  เท่านี้ลูกเลิฟก็ได้รับสารอาหารที่เพียงพอแล้ว

  • แต่ถ้าไม่ได้หม่ำอาหารเช้า หรือ หม่ำแต่เพียงเล็กน้อยบ่อย ๆ  ก็อาจจะทำให้สมองมึนจนขาดสมาธิการเรียน และ มีอาการง่วงซึมตลอดทั้งวัน พอนานๆ เข้า  ก็อาจจะส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหารในร่างกายเป็นอย่างมาก

10. ความอ้วนตุ๊ต๊ะ

ความอ้วน วายร้าย ทำลายสมองลูก

   หากคุณลูกเลือกหม่ำทุกอย่างที่ขวางหน้า จนน้ำหนักตัวเริ่มฉุดไม่อยู่แล้ว กลายเป็นคนอ้วนตุ๊ต๊ะขึ้นมา ก็อาจส่งผลให้เส้นเลือดในสมองหนาขึ้น เพราะการเกาะตัวของไขมันจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้สมองทำงานได้ช้าลงเช่นเดียวกัน

11. ของหวาน

 ของหวาน วายร้าย ทำลายสมองลูก

   สมอง ไม่ใช่ความรักที่จะต้องหมั่นเติมความหวานอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเด็กที่ชอบหม่ำของหวานติดเป็นนิสัยแล้ว ซึ่งส่งผลให้น้ำตาลไปขัดขวางการดูดซึมของโปรตีนและสารอาหาร เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมองทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

   " สุขภาพสมองของลูกจะไปในทิศทางไหน พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพ่อแม่เป็นผู้กำหนด "

สมองหนูดีได้ เกิดจาก…

   นอกจากพัฒนาการทางกายภาพ เรื่องการกิน อยู่ หลับ นอน ของลูกแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้สมองของเขามีพัฒนาการที่ดี สมองดี คือ ประสบการณ์การเรียนรู้ และ สิ่งแวดล้อมที่คุณพ่อคุณแม่จะจัดให้ดังต่อไปนี้

  • ให้ความรักความอบอุ่น   การให้ความรักความอบอุ่นและดูแลใกล้ชิดอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ลูกมีความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ มีความสุข และ รู้สึกปลอดภัย ซึ่งจะทำให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้

  • อาหารดี   เมื่อลูกได้กินอาหารที่มีสารอาหารอาหารครบถ้วน และ ปริมาณเหมาะสม ก็จะช่วยให้สมองเจริญเติบโตและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • สื่อสารผ่านประสาทสัมผัส   คุณพ่อคุณแม่ต้องพูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใส โอบกอด สัมผัส ร้องเพลงกับลูก หรือ อ่านหนังสือให้ลูกฟัง โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรก เพื่อให้เขาได้คุ้นเคยกับเสียงและภาษา ซึ่งโดยรวมแล้วก็คือ การกระตุ้นผ่านระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 นั่นเอง

  • บรรยากาศดี  บรรยากาศในบ้านควรสงบร่มเย็น ทุกคนในบ้านต้องมีความรักความเข้าใจให้แก่กัน เพราะเด็กๆ สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึก และ การกระทำต่างๆ ของผู้ใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเขาอย่างแน่นอน

  • พักผ่อนเพียงพอ   เด็กๆ ต้องได้รับการนอนหลับที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อน และเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่

  • อากาศ   สมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจนมากที่สุด ควรหาช่วงเวลาให้ลูกได้รับอากาศบริสุทธิ์อยู่บ่อย ๆ

  • จิบน้ำบ่อย ๆ   สมองประกอบด้วยน้ำ 85% เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว กลายเป็นคนคิดช้า ก็ควรให้ลูกดื่มน้ำบ่อย ๆ

  • หัวเราะและยิ้ม  ทุกครั้งที่ยิ้ม หรือ หัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา ยิ่งหลั่งออกมามากเท่าไหร่ ก็เป็นผลดีต่อสมองเท่านั้น

   ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะนำความสำเร็จในเรื่องของการเรียนรู้มาสู่เจ้าตัวเล็ก แต่การที่เด็กจะมีสติปัญญาดี สมองดี ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต คุณพ่อคุณแม่จึงต้องปลูกฝังเรื่องอีคิว หรือ การรับรู้อารมณ์ของตนเอง และ เรื่องคุณธรรมจริยธรรมด้วย

 

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ และรูปภาพจากเว็บไซต์
amarinbabyandkids.com
หนังสือ 'สมองอ่าน อ่านสมอง' พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ

======================================

♥ เตรียมความพร้อมต่อ การเรียนรู้
ให้ลูกน้อย 
ด้วย "อเลอไทด์"

ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain
สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบำรุงสมอง
 เสริมสร้างสมาธิ เพิ่มความจำ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
√ ช่วยลดความเครียด ทำให้อารมณ์ดี
√ กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
 ช่วยให้ลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
√ ช่วยให้ปรับพฤติกรรมลูกได้ง่ายขึ้น 
 ดูแลอาการสมาธิสั้นให้ดีขึ้น ทำให้ผลการเรียนดีขึ้น
 
**เสริมอาหารสมองให้ลูกน้อย ทำให้มี IQ และ EQ ที่ดี
ป้องกัน/ลดความเสี่ยงต่อ สมาธิสั้น ได้ด้วย "อเลอไทด์"

 

ปรึกษาปัญหาสมาธิสั้น/แอลดี
หรือ สั่งซื้อ อเลอไทด์

โทร :  064-469-4459
Add Line : @HealthyBrain


เพิ่มเพื่อน

Visitors: 412,448