เด็กไทย ติดเกมส์มากขึ้นถึง 6 เท่า พ่อ-แม่ ต้องรีบแก้ไข

นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุถึง ปัญหาการติดเกมของเด็กและวัยรุ่นไทย ขณะนี้น่าเป็นห่วงมาก

สังคมต้องช่วยกันแก้ไขป้องกันเรื่องนี้อย่างจริงจัง   จากการวิเคราะห์สถานการณ์ของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น กทม. พบว่า ในปี 2560 มีเด็กป่วยเป็น โรคติดเกม ( game addiction ) รายใหม่ เข้ารับการรักษารวม 129 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ถึง 6 เท่าตัว  

จนถึงขณะนี้ มีเด็กที่ป่วยและได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ว่าเป็น โรคติดเกม รวม 429 ราย หรือ พบได้ 1 ใน 3 ของเด็กป่วยทั้งหมด  มากเป็นอันดับ 3 รองจาก โรคสมาธิสั้น

และปัญหาพฤติกรรมดื้อรั้น  โดยพบในเด็กผู้ชายมากกว่าหญิงอัตรา 7 ต่อ 1

 > อายุน้อยสุด 5 ขวบ มากสุด 17 ปี เด็กที่ป่วยใช้เวลาเล่นเกม 34 เดือน เฉลี่ยวันละ 5 ชั่วโมง

 > สถานที่ที่เด็กใช้เล่นเกมออนไลน์มากที่สุด คือ บ้าน พบร้อยละ 97  ที่โรงเรียน ร้อยละ 72


สำหรับรายงานผลการศึกษาของทีมจิตแพทย์เด็กฯ ที่ตรวจรักษาเด็ก 6-17 ปี ที่ป่วยเป็น โรคติดเกม ว่า จะพบร่วมกับโรคทางจิตเวชอื่นๆด้วยถึง 3-8 โรค

 > มากที่สุดคือ โรคสมาธิสั้น พบทุกวัย ร้อยละ 77 เด็กจะวู่วาม อดทนต่ำ 

 > อันดับ 2 โรคซึมเศร้า  ( Depression ) ร้อยละ 39  

 > อันดับ 3 โรควิตกกังวล ( Anxiety ) ร้อยละ 38 

 > อันดับ 4 เด็กมีปัญหาการเรียนรู้ ( Learning disorder) การเขียนการอ่าน จะด้อยกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน พบร้อยละ 35 

 

โดยในกลุ่มอายุ 13-17 ปี จะพบโรคทางจิตเวชร่วมมากถึง 8 โรค ได้แก่ สมาธิสั้น ปัญหาการเรียนรู้ โรควิตกกังวลกลัวเข้าสังคม ย้ำคิดย้ำทำ   ซึมเศร้า  โรคอารมณ์ 2 ขั้ว  โรคจิตหวาดระแวง และ โรคลมชัก ด้วย

 

 

“ การติดเกม จะขัดขวางพัฒนาการด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม เกิดผลเสียกับอนาคตของเด็กทั้งบุคลิกภาพ ความคิด การเรียน การทำงาน  เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก ทุกฝ่ายทั้งครอบครัว โรงเรียน และ สังคม ต้องเร่งป้องกันแก้ไขก่อนสายเกินแก้

 มิฉะนั้นเด็กและเยาวชนไทยที่มีไอคิวดี อาจกลายเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีสมรรถนะเสื่อมถอย เรียนไม่ได้ และ เกมจะกลายเป็นต้นตอสำคัญของการป่วยโรคจิตเวชคนรุ่นใหม่

ขณะนี้ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พัฒนาระบบการดูแลรักษา  และ ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อการป้องกันอย่างเร่งด่วน ” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว   


 

 ทางด้าน แพทย์หญิงวิมลรัตน์  วันเพ็ญ  รองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวว่า ในปี 2559 คาดว่ามีเด็กไทยเข้าข่ายติดเกมแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นป่วยประมาณ 1.6 ล้านคน เกมที่เล่นแล้วทำให้ติด และ มีผลกระทบมี 3 ชนิดคือ เกมยิงต่อสู้ (Shooting game)  เกมโมบา (MOBA) ชนิดที่เป็นสงคราม การต่อสู้ออนไลน์ และ ประเภทสปอร์ต(sport)

 โดยเด็กอายุ 7-12 ปี จะนิยมเล่นเกมยิงต่อสู้ กลุ่มอายุ 13-17ปี ซึ่งมีไอคิวระดับเลิศเฉลี่ย 122 คะแนน นิยมเล่นเกมโมบา เช่น ROV , LOL  เป็นต้น เล่นวันละ 1-4 เกม

ผลกระทบที่เกิดตามมากับการเล่นเกมออนไลน์ พบว่า

 √ เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายพ่อแม่ ทำลายข้าวของ ร้อยละ 42

 √ ไม่ไปโรงเรียนร้อยละ 39

 √ พยายามฆ่าตัวตาย ฆ่าเพื่อน พบร้อยละ 2

 √ ที่รุนแรง คือ หนีออกจากบ้าน และ ออกจากการศึกษาภาคบังคับ เริ่มพบร้อยละ 4

สาเหตุหลักเกิดจาก การเลี้ยงดูเด็กที่ไม่เหมาะสมของครอบครัว เช่น ขาดวินัย ไม่มีข้อกำหนดการเล่นเกม สูงร้อยละ 72  

สำหรับเด็กที่เป็นโรคติดเกม จะมีอาการสำคัญคือ เล่นเกมมาก หงุดหงิดถ้าไม่ได้เล่น  มีปัญหาการเรียน  ซึมเศร้า กังวล ก้าวร้าวไม่ฟังใคร 

การดูแลรักษาจะใช้หลายวิธีร่วมกัน ทั้งใช้ยา การบำบัดจิตใจ พฤติกรรม บำบัดครอบครัวด้วย และ ติดตาม

โดยจะติดตามผลหลังบำบัดรักษา 1, 3 และ 6 เดือน ค่ารักษาโรคติดเกมขั้นต่ำประมาณ 50,000 บาท จนถึงกว่า 250,000 บาทต่อคนต่อปี  ใช้เวลาการรักษานานตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับ ความรุนแรงและระยะเวลาป่วยด้วย

ขณะนี้สถาบันฯอยู่ระหว่าง การออกแบบการคัดกรองเด็กกลุ่มเสี่ยงติดเกม ร่วมกับ ครู และ การบำบัดครอบครัวในโครงการ ความร่วมมือ 1 โรงพยาบาล 1 โรงเรียน( One Hospital One School  ) ซึ่งจะช่วยให้เด็กเข้าสู่ระบบการดูแลรักษา ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นเหมือนโรค หรือความรุนแรงอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบกับการเรียน

ในส่วนของครอบครัว  ซึ่งมีความสำคัญที่สุด ควรเพิ่มความใส่ใจกับลูก โดยเฉพาะ ในบ้านที่ติดระบบอินเตอร์เน็ตแบบเหมาจ่าย ควรฝึกให้เด็กมีวินัย  กำหนดเป็นกติกากับลูก ด้วยหลักการ  “ 3 ต้อง  3 ไม่ ” 

โดย 3 ต้อง ได้แก่

1. ต้องเลือกเกมให้ลูก 

2. ต้องกำหนดเวลาเล่น สร้างวินัยให้เด็ก ในเด็กเล็กควรให้เล่นไม่เกินครึ่งชั่วโมง เด็กโตไม่เกิน 1 ชั่วโมง 

3. ต้องเล่นกับลูก หรือ ดูกับลูก และ สอนลูกว่าอย่างไหนเหมาะสม

ขณะเดียวกัน ต้องเสริมให้เด็กมีกิจกรรมสร้างสรรค์ด้วย เช่น อ่านหนังสือ ช่วยงานบ้าน เล่นกีฬา เป็นต้น ส่วนมาตรการทางสังคม ควรส่งเสริมให้มีเครือข่ายเยาวชนเข้มแข็ง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเกม ส่งเสริมเกมประเภทสร้างสรรค์ที่ให้ผลดีต่อการพัฒนาทั้งความคิด ความรู้ คุณธรรม

รวมทั้งการใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชน จากการใช้สื่อออนไลน์อย่างจริงจัง เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

 --------------------------------

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ และรูปภาพจากเว็บไซต์

medhubnews.com

ด้วยความหวังดีจาก ศูนย์สมองดี Healthy Brain

สนับสนุนโดย อเลอไทด์

 

ปรึกษาปัญเด็กติดเกมส์
หรือ สั่งซื้อ อเลอไทด์

โทร : 091-8871691 
Add Line : @HealthyBrain (มี@ด้วย)

เพิ่มเพื่อน

Visitors: 412,447