เพิ่มสมาธิให้ลูก ต้องเริ่มอย่างไร ถึงได้ผล ?

"สมาธิ" จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้                                                                                                                                                         

สมาธิ คือ การจดจ่อกับสิ่งที่จะทำอย่างแน่วแน่ เพื่อพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ 

เด็กบางคน เก่ง ฉลาด พูดจาฉะฉาน ความจำดี ดูนิ่ง และ มีความตั้งใจทำอะไรได้นาน แต่เด็กบางคนมีพฤติกรรมต่างกันสิ้นเชิง นั่นเพราะว่า ขาดสมาธิ  ซึ่งสมาธิ เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ และ จดจำของเด็ก  

ผลงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า สมาธิ มีความสัมพันธ์กับสมอง เพราะ เวลาเด็กนิ่ง (Focus) เป็นเวลานานระยะหนึ่ง (Sustain) สมองส่วนซีรีบรัม (Cerebrum) จะเกิดการทำงานของ คลื่นสมองแอลฟ่า (Alpha) ได้ดี  ทำให้เด็กเกิดการจำ การเรียนรู้ และ การเข้าใจสิ่งต่างๆได้ง่าย 

เด็กบางคนมีสมาธิดีแต่กำเนิดก็จริงอยู่  แต่ถ้าได้รับการฝึกปฏิบัติด้วย ก็จะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน และ มีความประพฤติต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

 สาเหตุที่เด็กไม่มีสมาธิ

   1.  ขาดความสนใจในสิ่งที่กำลังทำ

   2.  หมกมุ่นในเรื่องอื่นๆ มากเกินไป เช่น เล่นเกม ดูการ์ตูน ฯลฯ

   3.  สนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน

   4.  มีความวิตกกังวล และ ความเครียด รบกวนจนละเลยที่จะรับรู้ หรือ สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

   5.  ภาวะความบกพร่องของร่างกาย และ ความเจ็บป่วยบางโรค เช่น โรคสมาธิสั้น ฯลฯ

   6.  ภาวะความไม่พร้อมอื่นๆ เช่น ความหิว ความอ่อนเพลีย การขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้

   7.  สิ่งแวดล้อมไม่สงบ มีสิ่งเร้ามากเกินไป หรือ มีเสียงดังรบกวนสมาธิ

เทคนิคเพิ่มสมาธิให้ลูก เริ่มได้ตั้งแต่เด็ก

การจะช่วยให้เด็กๆ มีสมาธิในการเรียน ทำกิจกรรมต่างๆ พ่อแม่ต้องมีเทคนิคเพิ่มสมาธิให้ลูก การฝึกสมาธิ ไม่ใช่การพาเด็กๆไปนั่งสมาธิที่วัด แต่อย่างใด เพราะหากให้ทำเช่นนั้นจริงๆ อาจยังไม่ได้อยู่ในวัยที่ลูกจะสามารถนั่งนิ่งๆ ทำสมาธิกันได้อย่างแน่นอน  การเพิ่มสมาธิให้ลูก ทางสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ได้แนะนำเทคนิคง่ายๆ 10 วิธี ให้ดังนี้ 

10 เทคนิคเพิ่มสมาธิให้ลูก 

    1. มอบความรัก :  ความเข้าใจในธรรมชาติและพัฒนาการตามช่วงวัยรุ่นต่างๆของลูก จะช่วยให้ลูกพัฒนาการเรียนรู้ และ อารมณ์ อย่างสอดคล้องกับวัย 

    2. จัดสิ่งแวดล้อม :  ควรมีการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้มีสมาธิ เช่น การจัดบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่วุ่นวาย และ มีมุมสงบที่ลูกสามารถทำการบ้าน และ อ่านหนังสือ โดยไม่มีเสียงดังรบกวนอยู่ใกล้ๆ ให้เสียสมาธิ

    3. อาหารและออกกำลังกาย  :  ดูแลลูกให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมตามช่วงวัย ให้ออกกำลังกาย และ ให้พักผ่อนที่เพียงพอ เมื่อลูกมีร่างกายที่แข็งแรง ก็ย่อมมีความพร้อมในการจดจ่อและเรียนรู้สิ่งต่างๆ

    4. ฟังเพลงคลาสสิค  มีผลการวิจัยระดับโลกที่ยืนยันว่า เพลงคลาสสิค หรือ เพลงบรรเลงที่มีจังหวะช้าๆ สม่ำเสมอ เข้ากับการเต้นของหัวใจ จะช่วยให้ร่างกายมีสภาวะที่ผ่อนคลาย เพิ่มความสามารถทางด้านความจำ และ การเรียนรู้ได้รวดเร็ว

    5. ส่งเสริมศิลปะ ศิลปะและการประดิษฐ์ต่างๆ เช่น การวาดรูป พับกระดาษ งานปั้น งานฝีมือต่างๆ ฯลฯ ตามความสนใจและความถนัดของเด็ก ซึ่งช่วยให้เด็กเพลิดเพลิน มีความสุขในสิ่งที่ทำ และ สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้นาน

    6. ของเล่นที่ดี :  เลือกของเล่นที่เหมาะกับวัย และ ช่วยให้ลูกจดจ่อให้การเล่นได้นาน เช่น จิ๊กซอว์ เลโก้ ร้อยเชือก บล็อกไม้ ฝึกให้ลูกเล่นของเล่นทีละอย่าง จะช่วยให้ลูกมีสมาธิกับการเล่นได้นานขึ้น

    7. อ่านหนังสือให้ลูกฟัง :  ขณะที่เด็กฟังนิทาน ลูกได้มีโอกาสฝึกการใช้ประสาทสัมผัส การมองสีหน้า ท่าทางของพ่อแม่ขณะเล่า ฝึก ประสาททาง หู ในการฟัง และ ปากในการพูดตาม รวมทั้งการใช้สมาธิจดจ่อในเรื่องราวที่พ่อแม่เล่า ซึ่งเด็กจะจดจำเรื่องราวเหล่านี้ไว้อย่างไม่น่าเชื่อ

    8. ฝึกวินัย การฝึกวินัย และ ความเป็นระเบียบในการดำเนินชีวิต เช่น จัดตารางกิจวัตรในบ้านให้ชัดเจนว่า เวลาไหนควรทำอะไรบ้าง จะช่วยให้เด็กทำอะไรเป็นระบบ ขั้นตอน และ ทำอะไรอย่างไม่เร่งรีบเกินไป ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างสมาธิทั้งสิ้น

    9. ฝึกเพิ่มสมาธิ ฝึกการเพิ่มสมาธิให้ลูกอย่างเป็นระบบ ตัดสินใจให้ลูกทำสิ่งต่างๆให้นานขึ้นตามลำดับ เช่น เริ่มจากการติดกระดุมจากครั้งแรกได้เม็ดเดียว ก็ค่อยเพิ่มเป็น 5 เม็ด

การค่อยๆ เพิ่มงานที่ยากขึ้น  หรือ ต้องใช้เวลาทำนานขึ้น  หรือ งานที่ต้องใช้ความละเอียดเพิ่มขึ้น ก็เท่ากับเป็นการฝึกสมาธิที่นานขึ้นเช่นกัน และ เมื่อเด็กทำได้  ให้คำชม พึงระวัง ไม่ตำหนิ และ ใช้อารมณ์กับลูก เพราะเด็กจะขาดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้

  10. สนับสนุนสิ่งที่เด็กชอบ :  หากพ่อแม่สังเกตว่า ลูกเริ่มสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น  เรื่องแมลง เรื่องไดโนเสาร์ พ่อแม่ควรกระตุ้นความอยากเรียนรู้ของเด็กมากขึ้น ด้วยการตั้งคำถามและข้อสงสัย แล้วท้าทายให้เด็กแสวงหาคำตอบ เช่น ค้นคว้าจากหนังสือ อินเตอร์เน็ต พาไปศึกษารายละเอียดตามพิพิทธภัณฑ์ หรือ แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้สมาธิจดจ่อในการศึกษาเรื่องที่สนใจยาวนานขึ้นได้

นอกจากการส่งเสริมเรื่องสมาธิให้ลูกทั้ง 10 วิธีนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มฝึกให้ลูกลองนั่งสมาธิ และ สวดมนต์สั้นๆ เมื่อลูกอยู่ในวัยที่พร้อม อย่างช่วงปฐมต้น ก็สามารถเริ่มให้ลูกนั่งสมาธิ หรือ สวดมนต์สั้นๆ ที่ห้องพระกับพ่อแม่ ย่ายาย หรือ เวลาพาไปทำบุญที่วัด   ก็อาจชวนลูกสวดมนต์ และ นั่งสมาธิสัก 5-10 นาที  การฝึกให้ลูกทีละเล็กละน้อย จะช่วยให้ลูกค่อยๆ ซึมซับ และ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง  โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกให้ทำ

สมาธิกับเด็ก ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะไม่ว่าจะเรียนหนังสือ เล่นกีฬา หรือ ทำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นไปตามช่วงวัย ล้วนต้องมีสมาธิเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันทั้งนั้น  ดังนั้นครูที่ดี ที่จะช่วยส่งเสริมเรื่องการมีสมาธิให้ลูก ตั้งแต่ก้าวแรกของชีวิตก็คือ คุณพ่อคุณแม่ นั่นเอง…

 

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :

สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ 
กรมสุขภาพจิต
trueplookpanya.com

============================

เด็กสมาธิไม่ดี จะเรียนดีได้อย่างไร ?? 

♥ เตรียมความพร้อมต่อ การเรียนรู้
เสริมสร้างสมาธิ 
ให้ลูกน้อย
ก่อนเปิดเทอม ได้
ด้วย "อเลอไทด์"

ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี Healthy Brain 

สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบำรุงสมอง 
√ เสริมสร้างสมาธิ เพิ่มความจำ การเรียนรู้ ให้ดีขึ้น
√ ช่วยลดความเครียด ทำให้อารมณ์ดี
 กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
 ช่วยให้ลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
 ช่วยกระตุ้นการสร้าง คลื่นสมองอัลฟ่า ได้ดี
 ดูแลอาการสมาธิสั้นให้ดีขึ้น ทำให้ผลการเรียนดีขึ้น   

**เสริมอาหารสมองให้ลูกน้อย ทำให้มี IQ และ EQ ที่ดี
ป้องกัน/ลดความเสี่ยงต่อ สมาธิสั้น ได้ด้วย "อเลอไทด์"

 

 

 

ปรึกษาปัญหาสมาธิสั้น
หรือ สั่งซื้ออเลอไทด์
โทร : 091-8871691087-5917495
Add Line : @HealthyBrain (มี @ ด้วย)

เพิ่มเพื่อน

Visitors: 393,787