ภัยใกล้ตัวลูก เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก เสี่ยงแอลดี

    

 ในวงการศึกษามาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “ Learning Disabilities ” ซึ่งในกฎหมายการศึกษาสำหรับผู้พิการของสหรัฐอเมริกา ให้คำจำกัดความไว้ว่า “ ความบกพร่องของกระบวนการทางจิตวิทยาขั้นพื้นฐาน ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าใจ การใช้ภาษา การพูด หรือ การเขียน ซึ่งแสดงออกโดย ความไม่สมบูรณ์ของความสามารถด้านการฟัง การคิด การพูด การอ่าน การเขียน การสะกดคำ และ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ ”  ความหมายครอบคลุมไปถึง ข้อจำกัดในการรับรู้ การบาดเจ็บทางสมอง ความผิดปกติเล็กน้อยในการทำงานของสมอง ดิสเล็กเซีย และ อะเฟเซีย

   ประเทศในโซนยุโรปบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร คำว่า “ Learning Disabilities ”  มีความหมายครอบคลุมกว้างกว่า โดยรวมถึง กลุ่มผู้บกพร่องทางสติปัญญา และ ความบกพร่องทางพัฒนาการอื่นๆด้วย ซึ่งคนละความหมายกับในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ประเทศแคนาดา ใช้ในความหมายเดียวกันกับในสหรัฐอเมริกา

   ในวงการแพทย์ แอลดี (LD) เป็นความบกพร่องรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีเกณฑ์การวินิจฉัยโรคชัดเจน คือ มีทักษะเฉพาะที่ใช้ในการเรียน ด้านการอ่าน การเขียน หรือ คณิตศาสตร์  ไม่เหมาะสมกับระดับอายุ  โดยไม่ได้เกิดจากความผิดปกติอื่น หรือ ขาดโอกาสทางการศึกษา และ ส่งผลรบกวนต่อผลการศึกษา หรือ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน

   ในประเทศไทย ไม่ว่าจะใช้ในวงการศึกษา หรือ วงการแพทย์ จะให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย จึงใช้นิยามเดียวกันตามเกณฑ์การวินิจฉัยทางการแพทย์เป็นหลัก

 

ลักษณะอาการ

   แอลดี  (LD) ตามเกณฑ์การวินิจฉัย DSM-5 ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน คือ มีความยากลำบากในการเรียนรู้ และ ทักษะที่ใช้ในการเรียน อย่างต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน แม้ว่าจะได้รับการแก้ไขมาระยะหนึ่งแล้ว โดยมีอย่างน้อย 1 จาก 6 อาการ ดังนี้ 

1. อ่านช้า หรือ อ่านไม่ถูกต้อง 

2. ยากลำบากในการทำความเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน 

3. ยากลำบากในการสะกดคำ 

4. ยากลำบากในการเขียน 

5. ยากลำบากในการจัดการกับจำนวน ตัวเลข และ การคำนวณ 

6. ยากลำบากในเหตุผลทางคณิตศาสตร์

   ทักษะที่ใช้ในการเรียนเหล่านี้ ทำได้ต่ำกว่าระดับอายุ ส่งผลรบกวนต่อการเรียน การประกอบอาชีพ หรือ กิจวัตรประจำวัน ทั้งนี้ต้องไม่ได้เกิดจากความบกพร่องทางสติปัญญา ข้อจำกัดในการมองเห็นหรือได้ยิน ความผิดปกติทางจิตใจ และ ระบบประสาท ความด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ความแตกต่างในด้านภาษา หรือ การศึกษาที่ไม่เพียงพอ

 

แอลดี (LD) แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก โดยมีความบกพร่องด้านใดด้านหนึ่ง หรือ หลายด้าน ดังนี้ 

1. ด้านการอ่าน (reading) 

2. ด้านการเขียน (written expression) 

3. ด้านคณิตศาสตร์ (mathematics) 

1) ความบกพร่องทางการอ่าน (impairment in reading) คือ

      เด็กที่อ่านหนังสือไม่ออกเลย หรือ อ่านหนังสือได้ไม่เหมาะสมตามวัย เช่น จดจำพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ไม่แม่นยำ แยกแยะพยัญชนะที่คล้ายกันไม่ออก เช่น ก-ถ-ภ , พ-ฟ , ม-น 

      สะกดไม่ถูก อ่านตกหล่น  อ่านทีละตัวอักษรได้ แต่ผสมคำไม่ได้  ทั้งๆที่เด็กดูมีความฉลาดรอบรู้ในด้านอื่นๆ

     √ ถ้ามีใครเล่าเรื่องให้ฟังจะเข้าใจดี จำได้ การเรียนรู้จากการเห็นภาพ และ การฟังจะทำได้ดี   แต่ถ้าให้อ่านเองจะไม่ค่อยรู้เรื่อง

     √ อ่านตะกุกตะกัก จับใจความไม่ได้ มีข้อจำกัดในการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ

2) ความบกพร่องทางการเขียน (impairment in written expression) คือ

     √ เด็กที่มีปัญหาในด้านการเขียนหนังสือ ตั้งแต่เขียนหนังสือไม่ได้เลย เขียนตกหล่น สลับตำแหน่ง หรือ ผิดตำแหน่ง 

      เขียนสลับด้านแบบส่องกระจก หัวเข้าหัวออกสับสน เช่น ด-ค , พ-ผ , ถ-ภ 

      ผันวรรณยุกต์ไม่ถูก  วางสระไม่ถูกตำแหน่ง  เขียนไม่เป็นประโยคที่สมบูรณ์  ใช้คำเชื่อมไม่ถูกต้อง 

      เว้นวรรคตอนหรือย่อหน้าไม่ถูกต้อง  จนทำให้ผู้อ่านไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้ถูกต้อง

   เด็กมีข้อจำกัดในการถ่ายทอดความคิด  ผ่านการเขียนหนังสือ  มักทำให้ความหมายผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ต้องการสื่อสาร และ ไม่สามารถเขียนหนังสือได้ถูกต้องตามหลักภาษา

3) ความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์ (impairment in mathematics) คือ 

     เด็กมีปัญหาด้านคณิตศาสตร์  หลากหลายรูปแบบและหลายระดับความรุนแรง เช่น

     √ มีความสับสนเกี่ยวกับเรื่องตัวเลข  ไม่เข้าใจเรื่อง การบวก ลบ คูณ หาร 

      ไม่สามารถแปลโจทย์ปัญหาเป็นสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์   

      มีการคำนวณที่ผิดพลาด   ตกหล่นเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขเป็นประจำ 

      มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนและตัวเลข  การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ 

ทำให้ไม่สามารถหาคำตอบได้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์

 

   เด็กที่เป็น แอลดี (LD) จะมีหน้าตาเป็นปกติ ไม่มีความแตกต่างจากเพื่อนในรูปลักษณ์ภายนอก  การพูดคุยรู้เรื่องดี เข้าใจง่าย จดจำได้ค่อนข้างแม่นด้วยซ้ำ เวลาถามมักจะตอบได้ แต่เวลาให้เขียนอ่านหรือคำนวณ จะเริ่มเห็นปัญหา  ผลการเรียนจะต่ำกว่าเกณฑ์  มักช้ากว่าเพื่อนวัยเดียวกันประมาณ 2 ชั้นเรียน  ปัญหาที่ทำให้ชวนสงสัยว่าเป็น แอลดี (LD) หรือไม่  มักมีอาการแสดงอยู่ 4 ลักษณะใหญ่ๆ คือ

1. มีปัญหาการเรียน  เช่น เรียนไม่ทัน  สอบตก  ทำงานไม่เสร็จ ไม่ค่อยส่งงาน อ่านหนังสือไม่ค่อยออก เขียนผิดๆ ถูกๆ  คิดเลขไม่ค่อยออก 


2. มีปัญหาทางพฤติกรรม  เช่น ไม่ยอมไปโรงเรียน โดดเรียน แยกตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ก้าวร้าว เกเร  ในบางรายที่เป็นสมาธิสั้นร่วมด้วย จะพบว่า ไม่ค่อยมีสมาธิ ซุกซน อยู่ไม่นิ่ง รอคอยไม่ค่อยได้ 


3. มีปัญหาอารมณ์และการปรับตัว  เช่น ซึมเศร้า แยกตัว หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ปรับตัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้  


4. มีปัญหาความเจ็บป่วยทางร่างกายแต่หาสาเหตุไม่พบ   มักเป็นอาการทางกายที่มีความสัมพันธ์กับความเครียด เช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ ตาพร่า 

เมื่อพบลักษณะดังกล่าว ควรนำเด็กไปพบแพทย์ เพื่อประเมินปัญหาว่าเกิดจากอะไร จะได้หาแนวทางดูแลช่วยเหลือเด็กได้เหมาะสม ดึงศักยภาพที่เด็กมีอยู่ออกมาใช้อย่างเต็มที่

ระบาดวิทยา

แอลดี (LD) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกประเทศทั่วโลก ในด้านระบาดวิทยา พบในเด็กวัยเรียนประมาณร้อยละ 5-15 ซึ่งโดยหลักการกระจายตัวแบบปกติตามสถิติ ก็สามารถพบได้ทุกห้องและทุกโรงเรียน ถ้าห้องหนึ่งมีเด็ก 50 คน ก็จะพบเด็กที่เป็นแอลดี (LD) ประมาณ 3-8 คน และ พบว่าร้อยละ 80 ของ LD  เป็นความบกพร่องด้านการอ่าน  ถ้าเป็นโรงเรียนชายล้วน ก็จะพบได้มากขึ้น  เนื่องจาก แอลดี(LD) พบได้ในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ประมาณ 3-4 เท่า  ยกเว้นกลุ่มที่มีความบกพร่องในด้านการคำนวณ ในบางการศึกษาวิจัยพบว่า ไม่มีความแตกต่างระหว่างเพศ

ผลกระทบ

   เด็กที่เป็นแอลดี (LD) เมื่อโตขึ้น สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนปกติทั่วไป ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม สามารถเข้าสังคมกับเพื่อนได้ ประกอบอาชีพได้เหมือนทั่วไป บางคนอาจมีความยากลำบากในทักษะบางด้านอยู่บ้าง เช่น การอ่าน การเขียน หรือ คณิตศาสตร์

   เด็กที่ไม่ได้รับการดูแลรักษา มักไม่ประสบความสำเร็จในด้านการเรียน ไม่ค่อยได้รับคำชม มักสูญเสียความภาคภูมิใจ จึงหันไปเอาดีในด้านอื่นทดแทน ถ้าเด็กมีทักษะดีในด้านดนตรี กีฬา หรือ ศิลปะ  ก็อาจได้รับการยอมรับ แต่ถ้าทักษะเหล่านี้ก็ไม่ดีพอ ไม่มีทางเลือกอื่นที่สร้างสรรค์ เด็กก็อาจหันไปหาจุดเด่นในทางลบแทน เช่น ฝ่าฝืนกฎระเบียบ หนีเรียน ชกต่อย ตีกัน ติดเกม ติดสารเสพติด ฯลฯ

ผลกระทบจากแอลดี(LD) มีดังนี้

1. เด็กมีภาพลบต่อตนเอง  มองว่าตนเองแตกต่างจากเพื่อน เรียนหนังสือไม่ได้ เป็นคนโง่ มีปมด้อย

2. ปัญหาความสัมพันธ์ภายในครอบครัว  เนื่องจากพ่อแม่ไม่เข้าใจในข้อจำกัดของเด็ก มีความคาดหวังว่า เด็กน่าจะเรียนหนังสือได้ แต่เมื่อเด็กมีปัญหาการอ่าน การเขียน ทำการบ้านไม่เสร็จ ผลสอบไม่ดี ก็ยิ่งทำให้พ่อแม่ตำหนิ กดดัน และ เคี่ยวเข็ญเพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาคือ เด็กดื้อ ต่อต้าน เกเร ไม่อยากไปโรงเรียน และ หนีเรียน

3. ปัญหาความสัมพันธ์กับครู  เนื่องจากครูไม่เข้าใจในข้อจำกัดของเด็ก สอนและสอบด้วยวิธีการปกติ เมื่อเด็กทำงานไม่เสร็จ มีผลการเรียนไม่ดี ก็ยิ่งทำให้ครูตำหนิ กดดัน และ เคี่ยวเข็ญเพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาคือ เด็กปล่อยปละละเลย ไม่สนใจเรียน หนีเรียน และ ถูกออกจากระบบโรงเรียนเร็วกว่ากำหนด

4. ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน  เด็กมักถูกเพื่อนล้อเลียนในเรื่องการเรียน ทำให้อับอาย เสียความมั่นใจ หรือ หันไปหาจุดเด่นในทางลบแทน เช่น แกล้งเพื่อน ชกต่อย ตีกัน ฯลฯ ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนเพิ่มขึ้น เด็กอาจต้องใช้เวลาทำงานนานกว่าเพื่อน หรือ เรียนซ่อมเสริมเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่มีเวลาพักเล่นกับเพื่อนด้วย

5. ขาดความรู้และทักษะ  เนื่องจากอุปสรรคในการเรียนรู้ ทำให้เด็กขาดความรู้และทักษะที่ควรได้รับตามวัย  ต้องเข้าสู่ระบบงานเมื่ออายุน้อย  ทำงานในระดับใช้แรงงานมากขึ้น ความเสี่ยงต่อปัญหาสุราและสารเสพติดได้ง่าย

 
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ และรูปภาพจาก
happyhomeclinic.com
 

==================================

เตรียมความพร้อมต่อ การเรียนรู้
ให้ลูกน้อย ให้มีทักษะการอ่าน เขียน คำนวณ
ดีขึ้น ในช่วงเปิดเทอม ด้วย "อเลอไทด์"

ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain
สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบำรุงสมอง
 เสริมสร้างสมาธิ เพิ่มความจำ การเรียนรู้  ให้ดีขึ้น
√ ช่วยลดความเครียด ทำให้อารมณ์ดี
√ กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
 ช่วยให้ลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
√ ช่วยให้ปรับพฤติกรรมลูกได้ง่ายขึ้น 
 ดูแลอาการสมาธิสั้นให้ดีขึ้น ทำให้ผลการเรียนดีขึ้น
 
**เสริมอาหารสมองให้ลูกน้อย ทำให้มี IQ และ EQ ที่ดี
ป้องกัน/ลดความเสี่ยงต่อ สมาธิสั้น ได้ด้วย "อเลอไทด์"

ปรึกษาปัญหาสมาธิสั้น/แอลดี
หรือ สั่งซื้อ อเลอไทด์

โทร :  064-469-4459
Add Line : @HealthyBrain


เพิ่มเพื่อน

Visitors: 412,450