เด็กประถมไทย สมาธิสั้น นับล้าน
สธ.เผยเด็กไทยวัยประถมป่วย“สมาธิสั้น1ล้านคน”ครึ่งหนึ่งมีปัญหาสุขภาพจิต พัฒนาแอพฯดูแลร่วมไตรภาคี
น.ต.นพ. บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มเด็กที่พบมากที่สุดในวัยเด็ก และ น่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้คือ "โรคสมาธิสั้น ( Attention Deficit Hyperactivity Disorder :ADHD)" หรือที่เรียกว่าโรคไฮเปอร์ โรคนี้เป็นโรคทางจิตเวช เกิดจากภาวะบกพร่องในการทำหน้าที่ของสมอง ทำให้เด็กเกิดความผิดปกติที่สำคัญ 3 ด้าน คือ > มีช่วงสมาธิสั้นกว่าปกติ ( Inattention)
> มีความสนใจต่ำ ซุกซนอยู่ไม่นิ่งหรือซนผิดปกติ ( hyperactivity)
> พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ( Impulsivity)
อาการมักเกิดก่อนอายุ 7 ขวบ และต่อเนื่องติดต่อกันนานกว่า 6 เดือน หากไม่ได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่ต้น จะกลายเป็นปัญหาระยะยาวส่งผลต่อพัฒนาการในด้านลบ ไปจนถึงวัยรุ่น และ วัยผู้ใหญ่ เช่น ต่อต้านสังคม เกเร ใช้ความรุนแรงต่อคนอื่น ติดยาเสพติด และ เกิดภาวะซึมเศร้า
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ผลสำรวจของกรมสุขภาพจิตล่าสุดในปี 2560 พบเด็กวัยประถมศึกษาอายุ 6-12 ปี มีอัตราป่วยโรคสมาธิสั้น ร้อยละ 8.1 หรือ มีประมาณ 1 ล้านคน
> ผู้ชาย พบร้อยละ 12 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ที่พบร้อยละ 10 และ ป่วยมากกว่าผู้หญิงในอัตรา3ต่อ1
> พบอัตราป่วยสูงสุดในภาคใต้ ร้อยละ 11.7
> รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 9.4
> ภาคกลาง ร้อยละ 6.7
> กรุงเทพฯ ร้อยละ 6.5
> ภาคเหนือ ร้อยละ 5
โดยเด็กสมาธิสั้น ร้อยละ 50 หรือ ราว 5 แสนคน มีปัญหาสุขภาพจิต เนื่องจากการปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ไม่ดี เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง กรมสุขภาพจิตได้เร่งพัฒนาระบบบริการ โดยให้สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการรักษาโรคจิตเวชในเด็กและวัยรุ่น เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สร้างนวตกรรมบริการ เพื่อให้เด็กที่ป่วยโรคสมาธิสั้นทุกพื้นที่ได้รับการดูแลทั่วถึงและต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพที่สุด
ด้าน พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาเด็กที่ป่วยโรคสมาธิสั้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดทั้งครอบครัว โรงเรียนและโรงพยาบาล ขณะนี้สถาบันฯได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขตสุขภาพที่ 4 โรงพยาบาลสวนปรุง โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ จ.เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี และ สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือและแทปเล็ต ใช้ช่วยติดตามการดูแลเด็กวัยเรียน ที่ป่วยโรคสมาธิสั้นแบบบูรณาการ ร่วมระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง 3 ฝ่ายคือ ครู ผู้ปกครอง และ บุคลากรทางการแพทย์
แอพพลิเคชั่นนี้ มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่
1. ความรู้เรื่องโรค
2. การประเมินลักษณะอาการเด็กด้วยแบบมาตรฐานของกรมสุขภาพจิต
3 .การติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กสมาธิสั้นทั้งการเรียนและพฤติกรรม
4. การประเมินความเครียด ครู พ่อแม่
แอพฯนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถจัดการแบบแผนชีวิตของเด็ก โดยเฉพาะชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง สามารถเรียกใช้งานได้อย่างสะดวกทุกพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของครู ผู้ปกครอง และ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข คาดว่าจะทดลองใช้ในเดือนเมษายน 2561นี้ และ จะปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพ ก่อนขยายผลใช้ทั่วประเทศต่อไปโดยเร็ว
สำหรับการดูแลเด็กวัยเรียน โรคสมาธิสั้นแบบบูรณาการ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1. การคัดกรองอาการของโรคสมาธิสั้น โดยผู้ปกครอง และ ครู
2. การปรับพฤติกรรมโดยผู้ปกครองที่บ้าน
3. การปรับพฤติกรรม และ การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมโดยครูที่โรงเรียน
4. การประเมินอาการและการรักษา โดยผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาล
5. การส่งต่อติดตาม โดยครูเป็นผู้จัดการ ( case manager) จะทำให้เด็กได้รับการดูแลต่อเนื่อง และ การปรับพฤติกรรมของเด็ก โดยลดพฤติกรรมเสีย เพิ่มพฤติกรรมดี อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เริ่มทำทีละน้อย ทำมากกว่าพูด ชมเชยเมื่อทำดี เด็กส่วนหนึ่งประมาณร้อยละ 30 เมื่อผ่านวัยรุ่นอาการจะหายเอง ไม่ต้องกินยา ที่เหลือยังมีอาการหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จะควบคุมตัวเองดีขึ้น เรียนหรือทำงานได้เหมือนคนทั่วไป
ทั้งสาเหตุของการเกิดโรคนี้ เชื่อว่า เกิดจากพันธุกรรม ร้อยละ 80-85 และ ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้คือ การได้รับสารตะกั่ว สารฆ่าแมลง รวมถึง มารดาที่สูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ติดสารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถทำลายการเจริญเติบโตสมองของเด็กได้ หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย รักษาและปรับพฤติกรรมอย่างถูกต้องตั้งแต่มีอาการแรกเริ่ม
เด็กสมาธิสั้น มีโอกาสจะไม่ประสบผลสำเร็จในการเรียน หรือ เกิดการบาดเจ็บจากเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าเด็กปกติ มีโอกาสกลายเป็นเด็กเกเร ต่อต้านสังคมหลังอายุ 16 ปี สูงกว่าเด็กปกติ 3-4 เท่าตัว และ เด็กกลุ่มนี้หากถูกทำโทษบ่อยๆ หรือ ถูกลงโทษอย่างรุนแรง จะมีอาการซึมเศร้า ทำร้ายตัวเอง เมื่อโตขึ้นมีแนวโน้มใช้พฤติกรรมก้าวร้าวคนอื่น เช่น ทุบตี ทำร้ายคู่สมรส ใช้ความรุนแรงในครอบครัว การดูแลรักษา จึงเป็นการป้องกันปัญหาสังคมนี้ด้วย
==============================================ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากkomchadluek.netสนับสนุนโดยศูนย์สมองดี HealthyBrainอเลอไทด์ อาหารเสริมบำรุงสมอง
น.ต.นพ. บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มเด็กที่พบมากที่สุดในวัยเด็ก และ น่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้คือ "โรคสมาธิสั้น ( Attention Deficit Hyperactivity Disorder :ADHD)" หรือที่เรียกว่าโรคไฮเปอร์ โรคนี้เป็นโรคทางจิตเวช เกิดจากภาวะบกพร่องในการทำหน้าที่ของสมอง ทำให้เด็กเกิดความผิดปกติที่สำคัญ 3 ด้าน คือ > มีช่วงสมาธิสั้นกว่าปกติ ( Inattention)
> มีความสนใจต่ำ ซุกซนอยู่ไม่นิ่งหรือซนผิดปกติ ( hyperactivity)
> พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ( Impulsivity)
อาการมักเกิดก่อนอายุ 7 ขวบ และต่อเนื่องติดต่อกันนานกว่า 6 เดือน หากไม่ได้รับการดูแลรักษาตั้งแต่ต้น จะกลายเป็นปัญหาระยะยาวส่งผลต่อพัฒนาการในด้านลบ ไปจนถึงวัยรุ่น และ วัยผู้ใหญ่ เช่น ต่อต้านสังคม เกเร ใช้ความรุนแรงต่อคนอื่น ติดยาเสพติด และ เกิดภาวะซึมเศร้า
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ผลสำรวจของกรมสุขภาพจิตล่าสุดในปี 2560 พบเด็กวัยประถมศึกษาอายุ 6-12 ปี มีอัตราป่วยโรคสมาธิสั้น ร้อยละ 8.1 หรือ มีประมาณ 1 ล้านคน
> ผู้ชาย พบร้อยละ 12 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ที่พบร้อยละ 10 และ ป่วยมากกว่าผู้หญิงในอัตรา3ต่อ1
> พบอัตราป่วยสูงสุดในภาคใต้ ร้อยละ 11.7
> รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 9.4
> ภาคกลาง ร้อยละ 6.7
> กรุงเทพฯ ร้อยละ 6.5
> ภาคเหนือ ร้อยละ 5
โดยเด็กสมาธิสั้น ร้อยละ 50 หรือ ราว 5 แสนคน มีปัญหาสุขภาพจิต เนื่องจากการปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ไม่ดี เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง กรมสุขภาพจิตได้เร่งพัฒนาระบบบริการ โดยให้สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการรักษาโรคจิตเวชในเด็กและวัยรุ่น เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สร้างนวตกรรมบริการ เพื่อให้เด็กที่ป่วยโรคสมาธิสั้นทุกพื้นที่ได้รับการดูแลทั่วถึงและต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพที่สุด
ด้าน พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาเด็กที่ป่วยโรคสมาธิสั้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดทั้งครอบครัว โรงเรียนและโรงพยาบาล ขณะนี้สถาบันฯได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขตสุขภาพที่ 4 โรงพยาบาลสวนปรุง โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ จ.เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี และ สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือและแทปเล็ต ใช้ช่วยติดตามการดูแลเด็กวัยเรียน ที่ป่วยโรคสมาธิสั้นแบบบูรณาการ ร่วมระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง 3 ฝ่ายคือ ครู ผู้ปกครอง และ บุคลากรทางการแพทย์
แอพพลิเคชั่นนี้ มีส่วนประกอบหลัก ได้แก่
1. ความรู้เรื่องโรค
2. การประเมินลักษณะอาการเด็กด้วยแบบมาตรฐานของกรมสุขภาพจิต
3 .การติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กสมาธิสั้นทั้งการเรียนและพฤติกรรม
4. การประเมินความเครียด ครู พ่อแม่
แอพฯนี้จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถจัดการแบบแผนชีวิตของเด็ก โดยเฉพาะชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง สามารถเรียกใช้งานได้อย่างสะดวกทุกพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของครู ผู้ปกครอง และ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข คาดว่าจะทดลองใช้ในเดือนเมษายน 2561นี้ และ จะปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพ ก่อนขยายผลใช้ทั่วประเทศต่อไปโดยเร็ว
สำหรับการดูแลเด็กวัยเรียน โรคสมาธิสั้นแบบบูรณาการ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1. การคัดกรองอาการของโรคสมาธิสั้น โดยผู้ปกครอง และ ครู
2. การปรับพฤติกรรมโดยผู้ปกครองที่บ้าน
3. การปรับพฤติกรรม และ การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมโดยครูที่โรงเรียน
4. การประเมินอาการและการรักษา โดยผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาล
5. การส่งต่อติดตาม โดยครูเป็นผู้จัดการ ( case manager) จะทำให้เด็กได้รับการดูแลต่อเนื่อง และ การปรับพฤติกรรมของเด็ก โดยลดพฤติกรรมเสีย เพิ่มพฤติกรรมดี อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เริ่มทำทีละน้อย ทำมากกว่าพูด ชมเชยเมื่อทำดี เด็กส่วนหนึ่งประมาณร้อยละ 30 เมื่อผ่านวัยรุ่นอาการจะหายเอง ไม่ต้องกินยา ที่เหลือยังมีอาการหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จะควบคุมตัวเองดีขึ้น เรียนหรือทำงานได้เหมือนคนทั่วไป
ทั้งสาเหตุของการเกิดโรคนี้ เชื่อว่า เกิดจากพันธุกรรม ร้อยละ 80-85 และ ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้คือ การได้รับสารตะกั่ว สารฆ่าแมลง รวมถึง มารดาที่สูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ติดสารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถทำลายการเจริญเติบโตสมองของเด็กได้ หากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย รักษาและปรับพฤติกรรมอย่างถูกต้องตั้งแต่มีอาการแรกเริ่ม
เด็กสมาธิสั้น มีโอกาสจะไม่ประสบผลสำเร็จในการเรียน หรือ เกิดการบาดเจ็บจากเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าเด็กปกติ มีโอกาสกลายเป็นเด็กเกเร ต่อต้านสังคมหลังอายุ 16 ปี สูงกว่าเด็กปกติ 3-4 เท่าตัว และ เด็กกลุ่มนี้หากถูกทำโทษบ่อยๆ หรือ ถูกลงโทษอย่างรุนแรง จะมีอาการซึมเศร้า ทำร้ายตัวเอง เมื่อโตขึ้นมีแนวโน้มใช้พฤติกรรมก้าวร้าวคนอื่น เช่น ทุบตี ทำร้ายคู่สมรส ใช้ความรุนแรงในครอบครัว การดูแลรักษา จึงเป็นการป้องกันปัญหาสังคมนี้ด้วย