ภัยเงียบยุค 4.0 เมื่อเราเลี้ยงลูกด้วยหน้าจอ
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ ในคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ได้จัดงานเสวนาหัวข้อ "แนวทางการกำหนดช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับเด็กในการใช้สื่อออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต"
ในเดือนสิงหาคม คณะกรรมการฝ่ายกิจกรรมภาคประชาชน ในการประชุมวิชาการร่วมคณะแพทยศาสตร์สามสถาบัน พ.ศ. 2560 (จุฬาฯ-รามาฯ-ศิริราช) ได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง ความร่วมมือสื่อออนไลน์กับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือขึ้น โดยในทั้งสองเวที
รศ.นพ. วีระศักดิ์ ชลไชยะ สาขาวิชาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชาการกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สรุปผลการศึกษาและข้อมูลวิชาการที่น่าสนใจ ซึ่งบ่งชี้ว่า การรับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หรือโทรศัพท์มือถือ รวมถึงแท็บเล็ต ส่งผลให้เด็กเล็กมีความผิดปกติทางพัฒนาการและพฤติกรรมอย่างชัดเจน และหากลดการรับสื่อเหล่านั้น พฤติกรรมก็อาจกลับมาเป็นปกติได้
จากข้อมูลวิชาการที่นำเสนอ พบว่า ในสังคมไทย พ่อแม่กว่าสองในสามเชื่อว่า การที่เด็กดูโทรทัศน์ จะเป็นผลดีต่อพัฒนาการด้านสังคม ภาษา และการเรียนรู้ แต่ในสหรัฐอเมริกา American Academy of Pediatrics แนะนำให้ผู้ปกครองหลีกเลี่ยงให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ รับสื่อโทรทัศน์ เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าส่งผลดีต่อเด็ก แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงต่อเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้เด็กดูโดยตรง หรือ เปิดไว้แก้เงียบขณะผู้ใหญ่ทำงานอื่นๆ หรือ เปิดให้ผู้ใหญ่ดูขณะเลี้ยงเด็ก (Background Media) และ ในวารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน ได้ตีพิมพ์ความเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์ในวัยเด็กที่ไม่พึงประสงค์ ที่ถูกมองข้าม แต่อาจก่อปัญหาเมื่อเติบใหญ่ ได้แก่ การเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสม การไม่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง การรับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่อายุน้อย และ สุขนิสัยการนอนที่ไม่ดี
จากการศึกษาผู้ปกครองและเด็กที่มาตรวจรักษาในหน่วยพัฒนาการและการเจริญเติบโตเกือบ 300 ราย พบว่า กว่าครึ่งของเด็กได้รับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่เดือนแรกของชีวิต และ เกือบทั้งหมดได้รับภายในขวบปีแรก โดยกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน และ 12 เดือน ได้รับเฉลี่ยวันละ 4 ชั่วโมง ขณะที่กลุ่มเด็กอายุ 18 เดือน และ 24 เดือนได้รับเฉลี่ยวันละ 5 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ของสื่อที่ได้รับก็คือ โทรทัศน์และวิดีทัศน์ แต่บางครอบครัวก็รับสื่อจากแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน และ คอมพิวเตอร์ เนื้อหาที่ได้รับส่วนใหญ่คือรายการผู้ใหญ่ และเปิดในลักษณะ Background Media และที่สำคัญเวลาที่ได้รับส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาเย็นหรือก่อนนอน ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพการนอนหลับของเด็กเล็ก
ผลกระทบต่อเด็กที่ได้รับสื่อ พบว่า จำนวนชั่วโมงที่ได้รับสื่อในแต่ละวัน สัมพันธ์กับปัญหา ซน และ สมาธิสั้น ยิ่งได้รับนาน ยิ่งเสี่ยงมาก โดยเฉพาะรายการบันเทิงต่างๆ และหากเป็นรายการบันเทิงที่มีเนื้อหารุนแรง ก็จะมีผลมาก
นอกจากเรื่องซนและสมาธิสั้น หากสื่อมีเนื้อหารุนแรงจะสัมพันธ์กับพฤติกรรมก้าวร้าว ในระดับความสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงกับบุหรี่สัมพันธ์กับมะเร็งปอด ส่วนเกมที่มีเนื้อหารุนแรง ก็เพิ่มพฤติกรรมก้าวร้าวและลดพฤติกรรมการเข้าสังคม ลดความเห็นอกเห็นใจคนอื่น
จากข้อมูลการดูแลเด็กกลุ่มอายุ 6 – 18 เดือน เกือบสองร้อยราย พบว่า การได้รับสื่อสำหรับผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 6 เดือน สัมพันธ์กับคะแนนพฤติกรรมหมวด ออทิสติก พฤติกรรมต่อต้าน ปัญหาพฤติกรรมหมวดปฏิกิริยาทางอารมณ์ ก้าวร้าว และ การแสดงออก
แม้แต่รายการสำหรับเด็กก็ไม่ใช่ว่าจะดีสำหรับเด็กทุกรายการ การศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า รายการในลักษณะแบบ Teletubbies หรือ Sesame Street กลับมีความสัมพันธ์เชิงลบกับพัฒนาการด้านภาษา ในขณะที่รายการที่มีลักษณะพูดคุยกับผู้ชม และให้โอกาสเด็กได้ร่วมตอบสนองเนื้อหา ด้วยการออกเสียงคำต่างๆตาม จะส่งผลบวกต่อพัฒนาการด้านภาษามากกว่า
ข้อค้นพบจากการวิจัยอย่างน้อย 15 การศึกษาพบว่า เด็กที่ได้รับสื่อผ่านจอตั้งแต่เล็ก มีการพัฒนาการทางภาษาล่าช้า และ ไม่มีการศึกษาใดเลยที่สรุปว่าเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ที่ได้รับสื่อเพียงอย่างเดียว จะกระตุ้นการเรียนรู้ได้จริง
นอกจากนี้ การได้รับสื่อตั้งแต่อายุน้อย ยังสัมพันธ์กับ การทำงานของสมองระดับสูง (Executive function) ที่ลดลง ควบคุมตนเองได้แย่ลง มีคุณภาพการนอนหลับที่แย่ลง แต่การศึกษาเหล่านี้มักเป็นการศึกษาระยะสั้น จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่า สื่อเป็นสาเหตุของปัญหาต่างๆ เหมือนกับที่เราสรุปได้ว่า บุหรี่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอด
นอกจากนี้ มีข้อมูลการทดลองในลูกหนูที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการกระตุ้นในด้านแสง สี เสียง คล้ายกับการได้รับสื่อมากเกินไป แล้วนำมาทดสอบเปรียบเทียบกับลูกหนูที่เลี้ยงดูในสภาพปกติ พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับการกระตุ้นจะมีการเคลื่อนไหวเพิ่ม มีพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่ม และ มีความจำระยะสั้นและการใช้สติปัญญาลดลง
รศ.นพ. วีระศักดิ์ ชลไชยะ ให้คำแนะนำว่า
√ ควรควบคุมการรับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก่อนอายุ 18 – 24 เดือน
√ ควรจำกัดเวลาการดูหน้าจอทุกประเภท ในแต่ละวันไม่เกิน 1 ชั่วโมง ในวัย 2 – 5 ปี
√ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กอยู่กับหน้าจอแต่เพียงลำพัง และ ผู้ใหญ่ควรเลือกเนื้อหาที่มีคุณภาพเหมาะสมกับวัยของเด็กด้วย
√ ควรมีช่วงเวลาปลอดหน้าจอ ซึ่งรวมถึง การใช้งานของผู้ใหญ่เองด้วย แล้วหันมาทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว เช่น การเล่น การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือ หรือ งานอดิเรกอื่นๆ
√ อย่ายื่นหน้าจอเพื่อให้เด็กหยุดงอแง ขณะรับประทานอาหาร และ 1 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน งดใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในห้องนอน ที่สำคัญคือ ต้องมีการติดตามการได้รับสื่อของเด็กให้เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ
โดยสรุป เนื้อหาวิชาการที่มีการนำเสนอในทั้งสองเวที ไม่ใช่เรื่องของความคิดเห็นหรือความกังวล แต่เป็นข้อมูลที่ค้นพบจริงจากการติดตามพัฒนาการระยะยาวของเด็กหลายร้อยคนในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นข้อมูลที่หาได้ยาก ส่วนข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ ก็ไม่ได้ต้องการให้ทุกคนเลิกดูโทรทัศน์ หรือ เลิกใช้สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต แต่ให้ระมัดระวังผลกระทบที่จะเกิดกับเด็กเล็กโดยไม่รู้ตัว เพราะผลกระทบเพียงเล็กน้อยในเด็กแต่ละคน แต่เมื่อเด็กส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงดูในลักษณะนี้ ก็จะกลายเป็นผลกระทบวงกว้างต่อสังคม อาจทำให้เรามีนักเลงคีย์บอร์ด หรือ นักเลงตามถนนหนทางมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาก็ได้
การเลือกวิธีเลี้ยงลูกเป็นเรื่องของแต่ละครอบครัว แต่ทุกคนควรได้รับข้อมูลผลกระทบจากการเลี้ยงลูกในแบบต่างๆ อย่างครบถ้วน แล้วตัดสินใจเลือกวิธีการเลี้ยงลูกที่เหมาะสมกับตัวเอง ในปัจจุบันหลายคนใช้หน้าจอต่างๆเลี้ยงลูก เพื่อให้ผู้ใหญ่มีเวลาหันไปทำภารกิจอื่นได้ หรือ ยื่นสมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต เพื่อให้ลูกหยุดร้องงอแง อาจต้องชั่งใจว่า กำลังทำในสิ่งที่ดีสำหรับลูก หรือ ดีสำหรับตัวเรากันแน่ และการให้ลูกอยู่กับหน้าจอไม่ใช่ข้อห้ามเด็ดขาด ถ้าเราเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมและร่วมมีปฏิสัมพันธ์ไปกับลูก แทนที่จะปล่อยให้เด็กอยู่กับหน้าจอแต่เพียงลำพัง
กสทช. ในฐานะองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ก็คงต้องหามาตรการในการทำให้ข้อมูลเหล่านี้ไปถึงมือผู้รับสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวางต่อไป
=========================================
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ และรูปภาพจากเว็บไซต์
นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา
ด้วยความหวังดีจาก ศูนย์สมองดี Healthy Brain
สนับสนุนโดย อเลอไทด์ สารอาหารบำรุงสมอง
เพิ่มสมาธิ ความจำ การเรียนรู้ และ ผลการเรียน ให้ดีขึ้น