ให้ ความรัก เยียวยาลูกสมาธิสั้น ดีขึ้นได้

   โรคสมาธิสั้น หรือ Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder (ADHD) 

    กลุ่มอาการขาดสมาธิ อยู่ไม่นิ่ง และ วู่วาม หุนหันพลันแล่น อาจมีสาเหตุมาจาก

    > การได้รับการถ่ายทอดทาง พันธุ์กรรม หรือ

    > เกิดจากภาวะที่มีผลต่อสมอง นับตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น มารดาขาดสารอาหาร หรือ ได้รับสารพิษ การคลอดมีปัญหา เด็กเป็นโรคลมชัก หรือ สมองอักเสบ

ส่งผลให้ สารโดปามีน และ นอร์เอปิเนฟริน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่คุมสมาธิ  มีปริมาณน้อยกว่าเด็กปกติ  เด็กจึงมีสมาธิสั้น  แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่สภาพแวดล้อมในการเลี้ยงดูที่ดี สามารถช่วยทำให้เด็กมีอาการดีขึ้นได้

   นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์   จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ ระบุว่า การเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหลายครอบครัวอาจมองข้ามไปว่า การที่เด็กดื้อ ซน อยู่ไม่นิ่ง ชอบปีนป่าย หุนหันพลันแล่น หรือ เหม่อลอย หลงลืมบ่อย ทำการบ้านไม่เสร็จ ไม่เป็นระเบียบ มักเป็นธรรมชาติของเด็กที่กำลังโต  จนเกิดความชะล่าใจ  เมื่อปล่อยนานไป ก็ยิ่งมีอาการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้วเด็กอาจเป็น โรคสมาธิสั้น และ หากไม่ได้รับการรักษา และ ดูแลที่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบด้านการเรียน และ พฤติกรรมของเด็ก เช่น สอบตก เกเร หนีเรียน และ ก้าวร้าวได้ "

   จิตแพทย์ขยายความถึง ความสำคัญของการเลี้ยงดู ที่มีผลต่อเด็กสมาธิสั้นว่า "จริงๆ แล้ว โรคสมาธิสั้น เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องพันธุกรรมด้วย อาจจะไม่สามารถป้องกันได้ แต่พฤติกรรม หรือ อาการที่เป็นปัญหา อาจจะดีขึ้นได้ หรือ แตกต่างกันได้ด้วย เรื่องของการเลี้ยงดู บางทีถ้าคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูเอาใจใส่ แม้ว่าเด็กจะดื้อซน แต่เราหนักแน่น ก็จะช่วยให้อาการสมาธิสั้น รบกวนเวลาเรียน รบกวนคุณพ่อคุณแม่น้อยลงไปได้  อีกส่วนหนึ่งก็คือ การเอาใจใส่ดูแล สร้างความผูกพันกับลูก จะทำให้เขาเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น"

    การดูแลเด็กที่เป็นสมาธิสั้น นอกเหนือจาก พ่อแม่แล้ว คุณครูก็มีส่วนสำคัญ เพราะจะเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเด็ก และ เห็นถึงความแตกต่าง ถ้าคุณครูมีโอกาสคุยกับคุณพ่อคุณแม่ ก็จะช่วยให้เด็กเข้าสู่การรักษาที่เร็วขึ้น นอกจากนี้เพื่อนๆ ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นได้ เช่น บางทีเด็กที่ต้องกินยารักษา อาจรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง การไม่ล้อ ไม่ว่า แล้วก็เข้าใจ  จะทำให้เด็กมีความรู้สึกดีกับสิ่งที่เขาเป็นมากขึ้น หรือ ในกรณีที่เด็กสมาธิสั้น อาจจะมีจดการบ้านหรือสิ่งที่ครูสอนไม่ทัน หรือ จดผิดๆ บ้าง เพื่อนก็สามารถช่วยได้

     อาจจะให้เครื่องมือต่างๆ เช่น เกมในโทรศัพท์บ้าง ทีวีบ้าง เป็นตัวที่ทำให้เขาอยู่นิ่งกับอะไรบางอย่างได้มากขึ้น ซึ่งจริงๆ การที่เขาอยู่นิ่งกับพวกสื่อทีวี  โทรศัพท์หรืออะไรต่างๆ  ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ได้เป็นสมาธิสั้น และ การที่ไปอยู่ตรงนั้นนานๆ  ก็จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ขาดโอกาส ที่จะฝึกเรื่องระเบียบวินัยต่างๆ  หรือ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีๆ กับลูก  เล่นกับลูก  ซึ่งมันจะมีผลสำหรับการดูแลลูกในภายหลัง รวมถึง โรคสมาธิสั้น ด้วย"

หัวใจสำคัญก็คือ เมื่อสงสัยว่าลูกเป็นเด็กสมาธิสั้น ควรรีบพาไปปรึกษาจิตแพทย์ และ คนที่เกี่ยวข้อง ต้องหารือทำงานร่วมกันเพื่อช่วยกันปรับเปลี่ยน โดยพ่อแม่ควรตื่นตัวหมั่นสังเกตอาการของลูก และ ตระหนักก่อนว่ามันมีโรคนี้อยู่จริงๆ  เด็กไม่ได้อยากจะเป็น เพียงแต่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้  นพ.คมสันต์ แนะนำวิธีการสังเกตอาการของเด็กสมาธิสั้นว่า ลักษณะไหนที่จะต้องพาไปพบ จิตแพทย์หรือกุมารแพทย์

โดยกลุ่มอาการที่มักพบบ่อยๆ มี 2 กลุ่มคือ

    1. กลุ่มอาการสมาธิสั้น (Inattention) สามารถสังเกตได้โดย

         > เด็กจะมีความวอกแวกง่าย เหม่อลอย ขี้หลงขี้ลืม อาจจะจัดเรื่องของระบบระเบียบงานไม่ได้  ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลัง สั่ง 3 อย่างได้ 2 อย่าง สั่ง 3 อย่างได้อย่างเดียวบ้าง หรือ

        > อาจเป็นในลักษณะของงาน หรือ การบ้าน ที่ทำออกมาแล้วไม่เรียบร้อย ไม่รอบคอบ

อันนี้เป็นอาการในกลุ่มของ ขาดสมาธิ หรือ แม้แต่สิ่งเร้าเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถทำให้เด็ก เสียสมาธิได้แล้ว เช่น นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียน พอมีคนเดินผ่านก็จะหันไปดูโดยทันที  เป็นลักษณะเป็นความไวต่อสิ่งเร้าภายนอกโดยผ่านทางตาและหู

   2. กลุ่มอาการซนมากกว่าปกติและหุนหันพลันแล่น (Hyperactivity/impulsivity) คือ ลักษณะความซนจะมากกว่าเด็กทั่วๆ ไป  ซนแบบไม่อยู่นิ่ง มักอยู่ไม่เป็นสุข ลุกลี้ลุกลนตลอดเวลา และชอบ ปีนป่ายขึ้นไปบนโต๊ะเก้าอี้บ่อยๆ เล่นเลอะเทอะ หรือเล่นอะไรแล้วรุนแรง

    "ถ้าหากพ่อแม่รู้ช้าว่าลูกเป็นเด็กสมาธิสั้น  ก็อาจทำให้เด็กมีผลกระทบด้านพฤติกรรมตามมา เช่น เด็กที่มารักษาช่วงวัยรุ่นแล้ว จะไม่ได้มาในเรื่องของ สมาธิสั้น แต่มีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรม เช่น ชอบออกจากบ้านดึกๆ ดื่นๆ  ออกไปเที่ยวกับเพื่อนข้างนอก ไม่ยอมกลับบ้าน หรือ บางทีก็มีปัญหาเรื่องของ ยาเสพติด เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร  เด็กกลุ่มนี้บางทีถ้าซักประวัติย้อนกลับไปในช่วงแรกๆ  เราพบว่าเขามีเรื่องของสมาธิสั้นมาก่อน แต่ไม่ได้รับการรักษา เขาจึงเบี่ยงเบนออกจากวิถีการเรียนไป เพราะคุณครูดุว่าบ่อยๆ แล้วก็ไปคบกับเพื่อนที่ เกเรเหมือนกัน ชวนกันไปมีปัญหาพฤติกรรมต่างๆ ก็เป็นที่น่าเสียดาย แต่ถ้าเราสามารถทราบได้เร็ว รักษาเร็วมันก็จะดีขึ้น"

    การรักษา โรคสมาธิสั้น นั้น ปัจจุบันจะใช้ยา ซึ่งเป็นแค่การประคับประคอง ควบคุมอาการ  ไม่หายขาด เด็กที่เป็นสมาธิสั้นประมาณสัก 30-40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อโตขึ้นในวัยผู้ใหญ่ อาการพวกนี้ก็จะดีขึ้น หายไป แล้วก็หยุดยาได้ 

ในส่วนของวัยรุ่น  เรื่องของซนอยู่ไม่นิ่ง ส่วนใหญ่ก็จะดีขึ้น อาจจะคงเหลือเป็นเรื่องของสมาธิสั้นอย่างเดียว แต่หากไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกวิธี อาจจะส่งผลเกิดเป็นปมด้อยในใจเด็ก และ เกิดเป็นผลกระทบระยาวทั้งในเรื่องการเรียน และ หน้าที่การงานได้ในอนาคต

    ดังนั้นการเลี้ยงดูของ พ่อแม่ และความเข้าใจของคุณครู และกำลังใจของคนรอบข้างนั้น มีความสำคัญต่อเด็กสมาธิสั้น และสามารถช่วยให้เด็กเหล่านั้นดีขึ้น  ซึ่งมีหลายกรณีพิสูจน์ว่า เด็กสมาธิสั้นไม่เพียงไม่เป็นปัญหาของสังคม แต่ยังสามารถเติบโต เป็นคนดีคนเก่งของสังคม เป็นที่พึ่งของตนเองและครอบครัวได้ ซึ่งการทำความเข้าใจและหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ กำลังใจในการรับมือช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นอย่างถูกทางนั้น นับเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก

 

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็บไซต์
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 ==================================

♥ เตรียมความพร้อมต่อ การเรียนรู้
ให้ลูกน้อย ก่อนเปิดเทอม 
ด้วย "อเลอไทด์"

ด้วยความปรารถนาดีจาก ศูนย์สมองดี HealthyBrain
สนับสนุนโดย อเลอไทด์ อาหารเสริมบำรุงสมอง
 เสริมสร้างสมาธิ เพิ่มความจำ การเรียนรู้  ให้ดีขึ้น
√ ช่วยลดความเครียด ทำให้อารมณ์ดี
√ กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
 ช่วยให้ลำดับความคิด เป็นระบบระเบียบมากขึ้น
√ ช่วยให้ปรับพฤติกรรมลูกได้ง่ายขึ้น 
 ดูแลอาการสมาธิสั้นให้ดีขึ้น ทำให้ผลการเรียนดีขึ้น
 
**เสริมอาหารสมองให้ลูกน้อย ทำให้มี IQ และ EQ ที่ดี
ป้องกัน/ลดความเสี่ยงต่อ สมาธิสั้น ได้ด้วย "อเลอไทด์"

 

ปรึกษาปัญหาสมาธิสั้น/แอลดี
หรือ สั่งซื้อ อเลอไทด์

โทร :  064-469-4459
Add Line : @HealthyBrain


เพิ่มเพื่อน

Visitors: 412,453